อาการ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรก เมื่อมีเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายและส่วนใหญ่ร่างกายสร้างแอนตี้บอดี
ให้ตรวจพบได้ ซึ่งการตรวจดังกล่าวอาจให้ผลลบได้ในกรณีที่ได้รับเชื้อมาใหม่ๆ เนื่องจากร่างกายยังไม่ได้สร้างปฏิกิริยาตอบสนอง ระยะนี้ยังไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด บางรายอาจมีอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วๆ ไป เช่น มีไข้ ผื่นตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ อาการเป็นอยู่ไม่นาน และหายไปได้เอง หลังจากนั้นผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ เลย
ระยะที่สอง จะเริ่มมีอาการ หรือเรียกว่า ระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ จากมีไข้ต่ำๆ เป็นประจำ ท้องเสียอย่างเรื้อรัง เหงื่อออก ปวดเมื่อย เป็นผื่นแผลตามร่างกาย มีแผลหรือเชื้อราในช่องปากและลำคอ ต่อมน้ำเหลืองโต น้ำหนักตัวลดลงเรื่อยๆ เชื้อเอชไอวีทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ที่มีชื่อว่า ซีดีโฟร์ (CD4) เมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ลดต่ำลง จะทำให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกัน และเกิดอาการของโรคติดเชื้อ ฉวยโอกาสแทรกซ้อนได้ง่าย โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการเมื่อระดับซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.
ระยะเอดส์เต็มขั้น ซึ่งจะมีรูปร่างผอมมาก ภูมิต้านทานของร่างกายลดลงไปมาก จำนวนเม็ดเลือดขาวเหลือน้อย การติดเชื้อแทรกซ้อนมีเป็นประจำ อย่างเช่น ติดเชื้อวัณโรค เชื้อราตามร่างกายเป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่างกายเสียไปมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อจำพวกเชื้อฉกฉวยโอกาสบ่อยๆ และเป็นมะเร็งบางชนิดอย่าง เช่น คาโปซีซาร์โคมา (Kaposi's sarcoma) และมะเร็งปากมดลูก วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ (HIV) โดยส่วนใหญ่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ส่วนการติดต่อทางอื่นมีน้อย อย่างเช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด ทารกได้รับเชื้อเอดส์จากมารดาผ่านทางรกยังเป็นสาเหตุรอง ส่วนการได้รับเชื้อจากเลือด ส่วนประกอบของเลือด หรือการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อนั้นพบได้น้อยมาก โดยนอกจากมีการตรวจสอบในเลือดผู้บริจาคแล้ว ยังไม่รับบริจาคเลือดจากผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น และไม่รับเลือดจากกลุ่มผู้บริจากซึ่งมีพฤติกรรมเสี่ยง
ผู้ที่ควรตรวจหาเชื้อเอดส์ ไดแก่
- ผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง และต้องการรู้ว่าตนเองติดเชื้อเอดส์หรือไม่
- ผู้ที่ตัดสินใจจะแต่งงาน
- สงสัยว่าคู่นอนของตนจะมีพฤติกรรมเสี่ยง
- ผู้ที่ต้องการข้อมูลสนับสนุนด้านสุขภาพของร่างกาย เช่น ผู้ที่ต้องไปทำงานในต่างประเทศ เป็นต้น
การรักษา โรคนี้วินิจฉัยด้วยการเจาะเลือดตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเอดส์ ซึ่งทำได้ง่ายกว่าการตรวจหาเชื้อโรคเอดส์ ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงแล้วต้องการทราบควรตรวจภายหลังจากมีพฤติกรรมเสี่ยง 6 สัปดาห์ขึ้นไป ขณะนี้ยังไม่มียารักษาโรคเอดส์ให้หายได้ ผู้ป่วยต้องทานยาต้านไวรัสทุกวันไม่ให้เชื้อแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น เพื่อลดปริมาณไวรัสในเลือดให้น้อยที่สุดและควบคุมปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้ระดับภูมิคุ้มกันสูงขึ้น ลดโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดบวม เชื้อราในปาก ฯลฯ แพทย์จะทำการรักษาโรคเหล่านั้นด้วย ผู้ป่วยต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และดูแลตนเองไม่ให้ติดเชื้ออื่นๆ ทุกชนิด
ขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดในโลกประสบความสำเร็จในการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ ในประเทศไทยกำลังมีการทดลองวัคซีนเอดส์ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และระยอง โดยอาสาสมัคร 16,400 คน มีอายุระหว่าง 18-30 ปี ใช้วัคซีนแบบปูพื้นกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันในเซลล์ซึ่งเริ่มมาหลายปีแล้ว และจะสรุปผลในปลาย พ.ศ. 2552
โรคนี้ป้องกันได้โดยไม่สำส่อนทางเพศ ไม่ใช้เข็มร่วมกัน หากไม่แน่ใจในคู่ของตนเองให้ชวนกันไปตรวจก่อนแต่งงาน ปัจจุบันนี้มูลนิธิสำหรับคนเป็นเอดส์ที่คอยช่วยเหลือในการทำงานเลี้ยงชีพและให้คำแนะนำด้านการปฏิบัติตัวและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หากต้องการคำปรึกษา ควรติดต่อไปที่
- กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โทร. 02-2860431, 02-2864483
- โรงพยาบาลบำราศนราดูร โทร. 02-5903737, 02-5903510
- กองควบคุมโรคเอดส์ กทม. โทร. 02-8608751-6 ต่อ 407-8
- มูลนิธิศูนย์ฮอทไลน์ โทร. 02-2777-7699, 02-2277-8811
- มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ โทร. 02-372-2222
- สถานบริการสาธารณสุข และโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง