อาการ หลังจากได้รับเชื้อพยาธิตัวจิ๊ดไปแล้ว 24 ชั่วโมง อาจมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไข้ คลื่นไส้ ลมพิษ
ผิวหนังอักเสบ บวมแดง เคลื่อนย้ายที่ และมีอาการคันและปวดร่วมด้วย มักเกิดขึ้นที่แขน ไหล่ ใบหน้า และศีรษะ
อาการในช่องท้องอาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบของช่องท้อง คล้ายไส้ติ่งอักเสบ
อาการทางสมอง ถ้าพยาธิไชเข้าสมองหรือน้ำไขสันหลังผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ไข้ คอแข็ง ปวดเสียวอย่างมากตามเส้นประสาทซึม หมดสติ
สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อพยาธิตัวจี๊ด
- ดื่มน้ำที่มีกุ้งไร (cyclops) ที่มีระยะติดต่อระยะที่ 3
- โดยการรับประทานเนื้อปลา กบ ไก่ เป็ด ฯลฯ ดิบหรือสุกๆ ดิบๆ ที่มีระยะติดต่อระยะที่ 3
- ติดต่อจากมารดาขณะอยู่ในครรภ์
- ไชเข้าทางผิวหนัง
หากรับประทานสัตว์จำพวกปลา กบ ไก่ นก หนู สุกๆ ดิบๆ หรือดื่มน้ำที่มีตัวไรที่มีตัวอ่อนระยะที่ 3 หรือจากการไชเข้าทางผิวหนัง จากนั้นจะไชเข้ากระเพาะอาหารและลำไส้ของคน แล้วเคลื่อนที่ไปตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย หากไปตามกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอักเสบบวมแดงจากการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ และจากสารพิษที่พยาธิปล่อยออกมา พยาธิเคลื่อนย้ายได้เรื่อยๆ เปลี่ยนตำแหน่งใน 2-3 วัน มีอาการคัน ปวดจี๊ดๆ ร่วมด้วย
พยาธิตัวจี๊ดอาจชอนไชไปที่ดวงตา ทำให้ตาบวม มีเลือดออก ไปตามผนังเยื่อเมือกของอวัยวะภายใน เช่น กระพุ้งแก้ม กระเพาะปัสสาวะ ปากมดลูก เป็นต้น นอกจากนี้ยังชอบไปอยู่ในระบบประสาท ไปสมอง และอยู่ในลำไส้ เกิดอาการ รุนแรงตามตำแหน่งที่พยาธิเข้าไปรุกราน
การรักษา โดยทั่วไปมักไม่พบพยาธิ แม้จะผ่าเข้าไปในบริเวณที่บวม ดังนั้นแพทย์จึงวินิจฉัยจากอาการว่ามีอาการเจ็บปวด บวมเคลื่อนที่ได้ ร่วมกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ และตรวจเลือดพบเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอสิโนฟิลสูงกว่าปกติ และพบเม็ดเลือดขาวชนิดนี้ในน้ำไขสันหลังด้วย เจาะเลือดหรือน้ำไขสันหลังเพื่อตรวจด้วยวิธีทางอิมมิวโนวินิจฉัย ซึ่งมีราคาแพง จากนั้นจะรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดบวม ยาแก้แพ้แก้คัน เป็นต้น ยารักษาโรคพยาธิที่ให้ผลดีคือ อัลเบนดาโซน ขนาด 400-800 มิลลิกรัม วันละครั้งหรือ 2 ครั้ง เป็นเวลา 21 วัน ติดต่อกัน