อาการ เริ่มแรกจะมีอาการไอ จามน้ำมูกไหล น้ำตาไหล ไม่มีเสมหะ มีอาการปวดศีรษะ ประมาณ 1-2 สัปดาห์
ต่อมามีอาการไอติดต่อกันเป็นชุดๆ ครั้งละนานๆ จนตัวงอ และหายจไม่ทันเพราะน้ำมูกไหล หายใจเข้ามีเสียงดัง 'วู๊ป' บางคนถึงกับหน้าเขียวเพราะขาดออกซิเจน มีเส้นเลือดที่คอโป่งออก มีเลือดออกจากตา มีเสมหะมาก รบกวนการพักผ่อนและการนอน
สามารถแบ่งอาการของโรคเป็น 3 ระยะ ดังนี้
1. ระยะแรก เริ่มมีอาการมีน้ำมูก และไอ อาจมีไข้ต่ำๆ ตาแดง น้ำตาไหล ระยะนี้เป็นอยู่นาน 1-2 สัปดาห์ และยังวินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรนไม่ได้ ยกเว้นหากไอนานเกิน 10 วัน เป็นแบบไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ ก็ให้สงสัยว่าเป็นโรคไอกรน
2. ระยะที่มีอาการไอเป็นชุดๆ แบบไม่มีเสมหะ เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 อาการไอถี่ๆ ติดกันเป็นชุด 5-10 ครั้ง ตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียง 'วู๊ป' ซึ่งเป็นเสียงดูดลมเข้าอย่างแรง ในช่วงที่ไอผู้ป่วยจะมีหน้าตาแดง น้ำมูก น้ำตาไหล ตาถลน ลิ้นจุกปาก เส้นเลือดที่คอโป่งพอง ผู้ป่วยจะไอติดต่อกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถขับเสมหะที่เหนียวออกมาได้ บางครั้งเด็กอาจจะมีหน้าเขียว เพราะหายใจไม่ทัน โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ อายุน้อยกว่า 6 เดือน และอาจมีปัญหาเสมหะอุดทางเดินหายใจได้ ในเด็กเล็กมักจะมีอาการอาเจียนตามหลังการไอ ระยะนี้จะเป็นอยู่นาน 2-4 สัปดาห์
3. ระยะฟื้นตัว ความรุนแรงของการไอและจำนวนครั้งลดลง แต่จะยังมีอาการไออยู่บ้างหลายสัปดาห์
สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย บอร์เดดเทลลา เปอทุสซิส ซึ่งทำให้มีการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ และเกิดอาการไอที่มีลักษณะพิเศษ คือ ไอซ้อนๆ ติดๆ กัน 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้นจนเด็กหายใจไม่ทัน จึงหยุดไอ และมีอาการหายใจเข้าลึกๆ เป็นเสียง 'วู๊ป' สลับกันไปกับการไอเป็นชุดๆ จึงมีชื่อเรียกว่า 'โรคไอกรน' บางครั้งอาการอาจจะเรื้องรังนาน 2-3 เดือน
ไอกรนเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอ จาม รดกันโดยตรง ทำให้เกิดโรคไอกรนที่มีความรุนแรงในเด็ก เป็นได้กับทารกตั้งแต่เดือนแรก ในเด็กเล็กอาการจะรุนแรงมาก และมีอัตราเสียชีวิตสูง เป็นเด็กที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน สำหรับผู้สัมผัสโรคที่ไม่มีภูมิคุ้มกันจะติดเชื้อและเกิดโรคเกือบทุกราย แต่ผู้ใหญ่ที่มีการติดเชื้อมักไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่มาก
ยังพบโรคนี้ได้ประปรายในชนบท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 6-20 วัน ถ้าสัมผัสโรคมาเกิน 3 สัปดาห์แล้ว ไม่มีอาการ แสดงว่าไม่ติดโรค
โรคแทรกซ้อน ได้แก่
- ที่พบบ่อย คือ ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่สำคัญของโรคไอกรนในเด็กเล็ก
- การมีเสมหะเหนียวไปอุดในหลอดลมและถุงลม
- การไอมากๆ ทำให้มีเลือดออกในเยื่อบุตา มีจุดเลือดออกที่ใบหน้าและในสมอง
- มีอาการชัก เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงสมองในขณะที่ไอถี่ๆ และอาการชัดอาจเกิดจากมีเลือดออกในมอง พบบ่อยในเด็กเล็ก
การรักษา ควรรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่มีอาการไอ จาม 1 สัปดาห์แล้วไม่หาย แพทย์ให้ยารักษาตามอาการและให้ยา ดังนั้นถ้าให้ยาปฏิชีวนะอีริโทรมัยซิน นาน 14 วัน ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของโรคได้หากไปพบแพทย์ในช่วงแรกของโรค แต่ถ้าพบผู้ป่วยระยะที่มีการไอเป็นชุดๆ แล้วการให้ยาจะไม่สามารถลดความรุนแรงของโรคได้ แต่จะสามารถฆ่าเชื้อโรคที่ยังมีอยู่ให้หมดไปได้
ระหว่างนี้ต้องป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่คนอื่น ดูแลให้เด็กได้พักผ่อน ดื่มน้ำอุ่น อยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี หลีกเลี่ยงสาเหตุที่จะทำให้เด็กไอมากขึ้น เช่น ลมแรง ฝุ่นละออง ควันไฟ ควันบุหรี่ อากาศที่ร้อนหรือเย็นจัดเกินไป เป็นต้น
สำหรับผู้สัมผัสโรคทุกคนควรได้รับการติดตามดูว่าจะมีอาการไอเกิดขึ้นหรือไม่อย่างใกล้ชิด โดยติดตามไปอย่างน้อย 2 สัปดาห์
การป้องกัน ในเด็กจะมีการฉีดวัคซีนให้ตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน อีก 2 เดือน ฉีดอีก 1 เข็ม ฉีดอีกครั้งเมื่อเด็กอายุ 1 ปีครึ่ง และที่อายุ 5-6 ปี ฉีดให้ครบชุด สามารถป้องกันการติดเชื้อไอกรนตลอดไป สำหรับเด็กที่มีอายุเกิน 7 ปี แล้วจะไม่ให้วัคซีนไอกรน เพราะเคยพบว่ามีปฏิกิริยาข้างเคียงได้สูง