ปกติอารมณ์ของบุคคลจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามสถานการณ์ที่บุคคลเผชิญในชีวิตประจำวัน แต่จะ
เปลี่ยนแปลงไม่มากและไม่รุนแรงหรือกระทบกระเทือนถึงความคิด พฤติกรรมและหน้าที่การทำงานของร่างกาย บุคคลที่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์รุนแรง เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและกระทบกระเทือนถึงระบบการทำงานอื่นๆ โดยเฉพาะพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น จำเป็นต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือ
อารมณ์แปรปรวน (Mood Disorders) เป็นความผิดปกติทางอารมณ์เป็นอาการเด่น โดยบุคคลอาจมีอารมณ์เศร้ามากผิดปกติ อ่อนเพลีย ร้องไห้ เศร้ามาก อยากตาย หรืออาจมีอารมณ์ดีมากผิดปกติ ครื้นเครง พูดมาก ในผู้ป่วยอาจมีอาการเพียงลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือทั้งสองลักษณะร่วมกันก็ได้
บุคคลที่มีอารมณ์แปรปรวน คือบุคคลที่มีความผิดปกติทางอารมณ์อย่างเด่นชัด โดยแสดงออกถึงอารมณ์เศร้ามากผิดปกติ (Depressive) อาจแสดงอาการซึมเศร้ามาก ร้องไห้มาก ปฏิเสธการสังคมกับผู้อื่น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หดหู่ใจ อยากตายหรืออาจมีอารมณ์ครื้นเครง คลุ้มคลั่ง เริงร่ามากกว่าปกติ (Mania) หัวเราะโดยไม่มีเหตุผลตลอดเวลา หรืออาจมีอาการทั้งเศร้าและคลุ้มคลั่งมากในเวลาเดียวกันหรือในเวลาใกล้เคียงกัน พยาธิสภาพทางอารมณ์นี้ส่งผลถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหว ทำให้มีพฤติกรรมแปลกๆ
ปัจจุบันโรคอารมณ์แปรปรวน ใช้คำที่เป็นสากลว่า Mood Disorders (DSMIV, 1995 ใน American Psychiatric Association APAI,1994) ในระยะแรกที่พบ พบในลักษณะของโรคอารมณ์ซึมเศร้า (Depressive) ถือเป็นความผิดปกติของการปรับตัวทางอารมณ์ซึ่งพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในสหรัฐอเมริกาพบในเพศหญิงร้อยละ 12 ในขณะที่พบในเพศชายร้อยละ 8 (The National Institution of Mental Health Epidemiologic Catchment Area Studies in Kaplan and Sadock, 1995) ในระยะหลังๆ พบว่ามีอัตราการป่วยในเพศหญิงและเพศชายพอๆ กัน และพบในวัยหนุ่มสาวมากขึ้น อย่างไรก็ตามโรคซึมเศร้าเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ถึงร้อยละ 80-90 ถ้าได้รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
ลักษณะของบุคคลที่มีอารมณ์แปรปรวน
ลักษณะอาการของบุคคลที่มีอารมณ์แปรปรวน สามารถอธิบายได้โดยจำแนกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
1. ลักษณะอารมณ์เศร้า (Depressive)
ลักษณะของผู้ป่วยกลุ่มอารมณ์เศร้า ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เศร้า หดหู่ใจ สะเทือนใจ ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล รู้สึกเบื่อหน่ายสังคม สิ่งแวดล้อมรอบตัว ท้อแท้ เหนื่อยหน่าย ซึมเฉย นั่งอยู่ท่าเดียวนานๆ ไม่ทำกิจกรรมใดๆ แม้แต่การรับประทานอาหาร มีพฤติกรรม อยากเก็บตัวอยู่คนเดียว หงุดหงิด มีอารมณ์รุนแรงได้ง่ายเมื่อมีสิ่งรบกวน บางรายมีอาการกระสับกระส่ายอยู่เฉยไม่ได้ต้องลุกเดินไปมา สมาธิเสื่อม เหม่อลอย หลงลืมง่าย ความคิดเชื่องช้า ลังเลใจ ตัดสินใจไม่แน่นอน ไม่มั่นใจในตนเอง มองโลกในแง่ร้าย ตำหนิตนเอง รู้สึกว่าตนเองมีความทุกข์มากไม่มีใครช่วยได้ และอยากตาย กลุ่มอาการของโรคนี้พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
2. ลักษณะอารมณ์คลุ้มคลั่ง (Mania)
ลักษณะของผู้ป่วยกลุ่มอารมณ์คลุ้มคลั่ง ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ ครึกครื้น ครื้นเครง เริงร่ามากกว่าปกติ แสดงออกในลักษณะอารมณ์ดีเสมือนมีความสุขมากเกินปกติ หัวเราะร่าเริงมากกว่าปกติ แสดงออกในลักษณะอารมณ์ดีเสมือนมีความสุขมากเกินปกติ หัวเราะร่าเริงโดยไม่มีเหตุผล มักมีความคิดว่าตนเป็นใหญ่ และหลงตัวเองในทางเป็นใหญ่เป็นโต (Grandeur idea delusion) แสดงพฤติกรรมมากกว่าปกติทั้งการพูด การคิด และการกระทำ พูดจาสับสน เปลี่ยนเรื่องบ่อย หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย ตกใจง่าย ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
ปัจจัยเหตุของโรคอารมณ์แปรปรวน
ปัจจัยเหตุของโรคอารมณ์แปรปรวน เกิดจากปัจจัยหลายประการ ในที่นี้แบ่งเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้
1. ปัจจัยด้านชีวภาพ (Biological factors)
จากการศึกษาด้านชีวเคมีพบว่า มีความเกี่ยวข้องกับระดับอารมณ์ของมนุษย์อย่างมาก เช่น พบว่าบุคคลที่อยู่ในภาวะเศร้ามีระดับฮอร์โมนนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ต่ำ และบุคคลที่อยู่ในภาวะคลุ้มคลั่งจะมีระดับฮอร์โมนนอร์อิพิเนฟรินสูง
ความผิดปกติทางสรีรวิทยาของระบบประสาท (Neurophysiology) ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของระดับชีวะเคมีในร่างกาย หรือความไม่สมดุลของการกระจายของสารละลายโซเดียม และโพแทสเซียมในและนอกเซลประสาท ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เศร้ารุนแรงในช่วงเช้าตรู่ และอารมณ์ดีขึ้นในช่วงบ่ายหรือค่ำ
นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาพบว่า มีความผิดปกติเกี่ยวกับการเผาผลาญของสารชีวเคมีบางตัว (Biogenic amine) เช่น 5-Hydroxyindoeacetic acid, Homovanillic acid และ 3-Methoxy-4-Hydroxyphenylglycol ในเลือด ปัสสาวะ และน้ำไขสันหลังของผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวน
2. ปัจจัยด้านพันธุกรรม (Genetic factors)
ได้มีการศึกษาปัจจัยเหตุของโรคอารมณ์แปรปรวนด้านพันธุกรรมพบว่ายีนส์มีความสัมพันธ์กับโรคอารมณ์แปรปรวน การศึกษาประวัติครอบครัวของผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดไบโพลาวัน (Bipolar-I) พบว่าร้อยละ 50 ของผู้มีอารมณ์แปรปรวนชนิดนี้ จะมีอย่างน้อยบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนและมักเป็นโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรง หากทั้งบิดาและมารดาป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนชนิดนี้ โดยเฉพาะบุตรจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนถึงร้อยละ 50-75 (Kaplan and Sodack, 2007)
นอกจากนี้มีการศึกษาในฝาแฝดพบว่า ในฝาแฝดไข่ใบเดียวกันอัตราความสัมพันธ์กับการเกิดโรคอารมณ์แปรปรวนสูงร้อยละ 33-90 และโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรงร้อยละ 50 ในฝาแฝดไข่คนละใบอัตราความสัมพันธ์กับการเกิดโรคอารมณ์แปรปรวนสูงร้อยละ 5-25 และโรคซึมเศร้าชนิดรุนแรงร้อยละ 10-25
การศึกษาเรื่องครอบครัว ส่วนใหญ่พบว่าในครอบครัวที่มีบุคคลเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน ในเครือญาติระดับบุตรจะมีโอกาสเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนได้
จากการศึกษาดังกล่าวสามารถยืนยันได้ว่าพันธุกรรมเป็นปัจจัยเหตุของการเกิดโรคอารมณ์แปรปรวน
3. ปัจจัยด้านจิตสังคม (Psychosocial factors)
1) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ฟรอยด์ (Freud) ได้เสนอการจำแนกอาการของผู้ป่วยที่มีอาการเศร้าหมองใช้คำว่า "Mourning" และ "Melancholia" ในปี 1917 โดยอธิบายว่า เป็นอาการเศร้า ไม่สนใจโลกภายนอก ขาดความรักและกิจกรรมต่างๆ มีความรู้สึกหันเข้าหาตนเอง สนใจเฉพาะตนเอง หลงผิด และลงโทษตนเอง
อารมณ์เศร้าเกิดจจากการสูญเสียสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การตายจาก หรือการถูกปฏิเสธ ฟรอยด์ มีความเชื่อว่าสาเหตุของความเศร้าโศกเกิดจากความรู้สึกสับสนเรื่องสัมพันธภาพเกี่ยวกับความรัก สัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก และความขัดแย้งใจเกี่ยวกับตนเอง
2) ทฤษฎีพัฒนาการ และประสบการณ์การเรียนรู้ การรับรู้เกี่ยวกับความล้มเหลวของตนเอง การถูกทอดทิ้งโดยเฉพาะการถูกแยกจากบุคคลที่มีความสำคัญใน 6 เดือนแรกของชีิวิต ทำให้บุคคลมีความรู้สึกเศร้า ความคิดและคาดหวังเกี่ยวกับตนในทางลบ ไม่สามารถปรับตัวได้
ทารกที่ถูกทอดทิ้งในขวบปีแรกของชีวิตทำให้เกิดความเศร้า (Analitic Depressions) จะพบว่ามีพฤติกรรมเศร้า ร้องไห้มาก รับประทานอาหารไม่ได้พัฒนาการเคลื่อนไหวล่าช้า ซึม ทื่อ การเจริญเติบโตหยุดชะงัก มีอาการเศร้าตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะมีพฤติกรรมเศร้ามาก
อับราฮัม (Abraham) อธิบายว่า ภาวะอารมณ์คลุ้มคลั่ง (Mania) เกิดจากการที่บุคคลประสบภาวะสูญเสีย ไม่เคยได้รับความรักจากบิดา-มารดา ทำให้เกิดความเศร้าตั้งแต่ในวัยเด็ก เมื่อประสบความสูญเสีย พยายามปฏิเสธหรือกลบเกลื่อนความเศร้าด้วยการแสดงท่าทีคลุ้มคลั่งระดับต่ำ (Hypomania) หรือ คลุ้มคลั่ง (Mania)
จาคอฟชัน (Jacobson) อธิบายภาวะซึมเศร้าว่า เกิดจากการที่ทารกผิดหวังจากการถูกแยกจาก ทำให้พัฒนาการความเป็นตนเองหยุดชะงัก ไม่สามารถปรับตัวเองกับโลกแห่งความเป็นจริงได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม ส่งผลให้บุคคลหมดความภาคภูมิใจในตัวเอง รู้สึกว่าตนเองไร้ค่าและอยู่ในภาวะซึมเศร้า
อดอฟ เมร์ (Adolf Meyer) อธิบายว่าโรคซึมเศร้าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสภาพชีวิตที่คับแค้น เช่น การสูญเสียความรัก การเจ็บป่วย ปัญหาการงาน ปัญหาการเงิน เป็นต้น
ซุลลิแวน (Sullivan) เชื่อว่าความขัดแย้งในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal interaction) หรือสภาพของสังคมรอบตัวเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า
4. ปัจจัยด้านการรู้คิด (Cognitive factors)
ทฤษฎีด้านการรู้คิด พบว่าความเศร้าเกิดจากการที่บุคคลมีความคิดเกี่ยวกับตนเองในทางลบ คิดโทษตนเอง ทำร้ายตนเอง เบค (Beck) ได้ระบุถึงการคิดที่ก่อให้เกิดอารมณ์เศร้าไว้ 3 ประการคือ ความคาดหวังด้านสิ่งแวดล้อมในทางลบ ความคาดหวังตนเองในทางลบ และความคาดหวังอนาคตในทางลบ
ความรู้สึกในทางลบของบุคคลจะมีผลในการทำลายพัฒนาการทางความคิดของบุคคล ทำลายความรู้สึกมีคุณค่าของตนเอง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยและเศร้ามาก
บุคคลที่มีอารมณ์แปรปรวนเกิดจากการตีความสถานการณ์ผิดไปจากความเป็นจริง ผู้ป่วยมักมีความนึกคิดต่อสิ่งรอบตัว บุคคลรอบตัว และเหตุการณ์แวดล้อมตนไปในทางลบ ประเมินตนเองในทางร้าย มองว่าตนเองไร้ค่า ไม่มีความสามารถไม่มีความภาคภูมิใจในตนเอง สิ้นหวัง ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าหมอง ท้อแท้ มองโลกในแง่ร้าย แอรอน เบค (Aron Beck ใน ดวงใจ กสานติกุล, 2542) ได้อธิบายสาเหตุของโรคเศร้าว่าเกิดจากการมีความนึกคิดในเชิงลบ มองเหตุการณ์ในชีวิตในแง่ร้าย จิตใจจึงอยู่ในสภาพท้อแท้หมดหวัง มองเห็นแต่สิ่งเลวร้ายของตนเอง มองอนาคตตนเองว่ามีแต่ความลำบาก ล้มเหลว และหมดทางแก้ ในที่สุดหันไปสู่ความพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนีความทุกข์