JA Cpanel
  •  

DooHealthy

RSSเว็บไซต์นี้ให้ข้อมูลความรู้และคำปรึกษาปัญหาสุขภาพต่างๆ เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง

พฤติกรรมบำบัด (Behavior Therapy)

พฤติกรรมบำบัดพฤติกรรมทุกพฤติกรรมนั้น มีความหมาย มีสาเหตุ และความเป็นมาที่น่าสนใจ สามารถพิสูจน์ได้ซึ่งเป็นแนว

 

ความคิดของนักทฤษฎีกลุ่มพฤติกรรมนิยม โดยมีความเชื่อว่าพฤติกรรมทั้งหลายเกิดจากการเรียนรู้ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเกิดจากการเรียนรู้มาผิดๆ เราสามารถลบพฤติกรรมที่เรียนรู้มาผิดๆ ได้ด้วยการทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ที่ถูกต้อง วิธีการนี้เรียกว่าพฤติกรรมบำบัด ถือเป็นวิธีการรักษาทางจิตเวชอย่างหนึ่ง มุ่งที่การควบคุมพฤติกรรมหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยพยายามขจัดหรือลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาศัยหลักการทางจิตเวชศาสตร์ จิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิทยาสังคม และผลการทดลองเรื่องการเรียนรู้ในสัตว์และมนุษย์

 

ความหมาย

พฤติกรรมบำบัด หรือที่เรียกว่า Behavior Therapy คือการบำบัดทางจิตชนิดหนึ่งที่มุ่งเน้นการควบคุมพฤติกรรม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สังเกตได้ โดยใช้หลักการเรียนรู้ และผลการทดลองทางจิตวิทยา มาใช้กับพฤติกรรมที่เป็นปัญหา การแก้ไขพฤติกรรมเน้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่สังเกตได้ โดยไม่คำนึงถึงสาเหตุของพฤติกรรมในอดีต

 

หลักการพื้นฐาน (Basic Principle)

หลักการของพฤติกรรมบำบัด อาศัยพื้นฐานทางทฤษฎีการเรียนรู้ ของนักจิตวิทยา กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ได้มีการศึกษาทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์มากมายโดยอาศัยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ผู้ริเริ่มคือ วัตสัน (John B. Watson) เชื่อว่า "พฤติกรรมที่เป็นปัญหาทั้งหลายเกิดจากการเรียนรู้ ถ้าเราใช้วิธีการเรียนรู้เข้าไปก็จะสามารถลบพฤติกรรมที่เป็นปัญหาได้" (ฺDeviant behavior is learned so it can be unlearned)

ทฤษฎีการเรียนรู้ที่นำมาใช้ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ ในกลุ่ม Associationist เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่าง สิ่งเร้าและการตอบสนอง

 

ลักษณะทฤษฎีที่นำมาใช้

Classical Condittioning เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการที่มีสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม มักจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งอาศัยความใกล้ชิดและการฝึกหัด โดยการนำเอาสิ่งเร้าที่เป็นกลางมาควบคู่กับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนอง ทำในเวลาใกล้เคียงกันและทำบ่อยๆ จนสิ่งเร้าที่เป็นกลางสามารถทำให้เกิดการตอบสนองได้ ดังเช่น การทดลองของ พาฟลอฟ (Pavlov) โดยใช้เสียงกระดิ่งมาควบคู่กับอาหาร ทุกครั้งที่สั่นกระดิ่งจะให้อาหารสุนัข ทำหลายๆ ครั้ง จนกระทั่งต่อมาสั่นกระดิ่งเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้สุนัขน้ำลายไหลได้ แสดงว่าสุนัขเกิดการเรียนรู้จากการเชื่อโยงระหว่างเสียงกระดิ่งและอาหาร

ต่อมา วัตสัน นำความคิดของ พาฟลอฟ มาทดลองกับคนเพื่อศึกษาการเรียนรู้ของคน โดยทดลองกับเด็กชายอัลเบิต (Albert) ซึ่งอายุ 2 ปี ในขณะที่เด็กชายอัลเบิตเล่นกับหนูขาวกำลังจะเอื้อมมือไปจับหนูขาว วัตสัน จะใช้ฆ้อนตีแผ่นเหล็กให้เกิดเสียงดัง จนเด็กชายอัลเบิต ตกใจทำเช่นนี้ทุกครั้ง ต่อมาเด็กชายอัลเบิต เกิดอาการกลัวหนูขาว เพราะเกิดการเรียนรู้ชนิดเชื่อมโยงระหว่างเสียงดังกับการจับหนูขาว ต่อมาวัตสันได้ทดลองใหม่โดยทุกครั้งที่เด็กจับหนูขาว ให้มารดาอยู่ด้วย โดยมารดาคอยโอบกอดให้ความอบอุ่น และให้รางวัลเข้ามาแทนที่เสียงฆ้อนตีแผ่นเหล็ก ทำเช่นนี้บ่อยครั้งจนกระทั่งเด็กชายอัลเบิตไม่กลัวหนูขาวและสามารถเล่นกับหนูขาวได้เช่นเดิม

สรุปได้ว่า พฤติกรรมทั้งหลายเกิดจากการเรียนรู้ดังนั้น เราสามารถใช้การเรียนรู้ใหม่เข้าไปลบพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ นอกจากนี้การเรียนรู้แบบ Classical Conditioning จะเน้นทางด้านอารมณ์ และความรู้สึก ดังการทดลองของ มาควิส (Marquis, 1931) ทดลองกับเด็กอายุ 2-9 วัน โดยปกติเด็กเล็กๆ เมื่อนำหัวนมมาถูกบริเวณปาก เด็กจะอ้าปากและดูดหัวนมซึ่งเป็นพฤติกรรมรีเฟล็ก (reflex) แต่ มาควิส ทำเสียงหึ่งๆ ก่อนให้นมเด็กด้วยทุกครั้ง ต่อมาเมื่อทำเสียงหึ่งๆ เพียงอย่างเดียว เด็กก็จะอ้าปากและทำอาการเหมือนดูดนม หรือจากการทดลองให้คนไข้ปัสสาวะเมื่อได้ยินเสียงกริ่ง โดยครั้งแรกๆ ใช้การสอดท่อยางเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ แล้วเป่าลมเข้าท่อปัสสาวะก่อนเป่าลมให้กดกริ่ง 2-3 นาที ทำเช่นนี้หลายๆ ครั้ง จนในที่สุดคนไข้จะถ่ายปัสสาวะได้เมื่อได้ยินเสียงกริ่ง

Operant Condittioning เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากผู้เรียนเป็นผู้กระทำพฤติกรรมเองโดยมิต้องรอให้มีสิ่งเร้าจากภายนอกมากระตุ้น เช่น การเดิน การพูด การรับประทานอาหาร เมื่อผู้เรียนกระทำพฤติกรรมแล้วจะได้รับรางวัล ซึ่งรางวัลจะเป็นผลให้ผู้เรียนกระทำพฤติกรรมนั้นๆ อีก สกินเนอร์ เห็นว่าพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่เป็นการเรียนรู้แบบ operant conditioning และสิ่งสำคัญ ที่ทำให้คนแสดงพฤติกรรมซ้ำๆ อีกก็คือ การได้รับแรงเสริม (reinforcement)

การทดลองของ สกินเนอร์ โดยการจับหนูที่กำลังหิวใส่กล่องทดลอง "skinner's box" ปรากฎว่าหนูวิ่งไปมา บังเอิญไปเหยียบคานเข้าและ มีเสียงดังแกร๊ก มีอาหารตกลงมาหนูได้รับอาหารเป็นรางวัล ต่อมาหนูจะเฝ้ากดคานได้ในระยะเวลาสั้นขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมเกิดจากการเรียนรู้ ต่อมา สกินเนอร์ ทดลองกับนกพิลาป โดยการนำหลักการเสริมแรง มาปรับพฤติกรรม (shaping) เพื่อให้สัตว์แสดงพฤติกรรมตามที่ตนต้องการ และต่อมาสกินเนอร์ ได้นำวิธีการปรับพฤติกรรม (shaping) มาใช้กับการปรับพฤติกรรมในผู้ป่วยโรคจิตในโรงพยาบาลประสาท

 

ความเป็นมาของพฤติกรรมบำบัด

การทดลองของพาฟลอฟ ทฤษฎีการเรียนรู้โดยวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning) เน้นการนำสิ่งเร้าสองสิ่งมาควบคู่กันในเวลาใกล้เคียงกันและทำบ่อยๆ จนสามารถทำให้สิ่งเร้าที่เป็นกลางกลายเป็นสิ่งเร้าที่สามารถทำให้เกิดการตอบสนองได้ด้วยตัวของมันเอง โดยทดลองในสุนัข การทดลองของวัตสัน ทดลองในเด็กชาย อัลเบิต กับหนูขาวเกิดการถ่ายโยงไปยังสัตว์อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายหนูขาว (Generalization) การทดลองของสกินเนอร์ ทฤษฎี Operant Condittioning ได้แนวคิดในการเสริมแรง (Reinforcement) มาใช้ในพฤติกรรมบำบัด

โจเซฟ วูลเป (Joseph Wolpe) ได้นำวิธีการกระบวนการลดความวิตกกังวลอย่างมีระบบ (Systematic Desensitization) โดยลดความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ทำให้เกิดความกังวลใจกับปฏิกิริยาตอบสนอง ให้ค่อยๆ หายไปอย่างมีระบบ วิธีนี้มักใช้ร่วมกับเทคนิคอื่นๆ เช่น การผ่อนคลาย (Relaxation) การฝึกพฤติกรรมกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม (Assertive training)

จอห์น ล็อก (John Locke, 1650) ได้ทดลองพบว่า ถ้าเด็กกลัวกบ จะแก้ไขโดย ให้จับกบวางในระยะที่ห่างพอดีที่จะไม่ตกใจ ให้เด็กมองกบกระโดด ค่อยๆ ให้เด็ก เข้าใกล้กบทีละน้อย จนสามารถจับกบได้เอง วิธีนี้ต่อมาเรียกว่า Exposure in VIVO สกินเนอร์ และลินส์ซี (Skinner & Lindsley, 1954) ทดลองทางจิตวิทยา เกี่ยวกับวิธีควบคุมและเปลี่ยนพฤติกรรมของคน และใช้คำว่า Behavior Therapy

 

ขั้นตอนในการทำพฤติกรรมบำบัด

ในขั้นแรกจะต้องเริ่มโดยการทำวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา (Functional analysis) ก่อน เพื่อศึกษาข้อมูล โดยดำเนินการดังนี้

  1. วัดความถี่ของพฤติกรรมที่ต้องการจะเปลี่ยน (frequency) ตรวจสอบพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
  2. ศึกษาสถานการณ์ที่เกิดพฤติกรรมนั้น (situation)
  3. ศึกษาถึงผลที่ตามมาของพฤติกรรมนั้น (consequence)

เมื่อแน่ใจและทราบถึงพฤติกรรมที่ต้องการจะปรับแก้ เราจะเลือกวิธีการที่จะใช้ในการปรับแก้

 

เทคนิคและวิธีการของพฤติกรรมบำบัด

  1. การควบคุมและรายงานผลตนเอง (Self Monitoring) เป็นการประเมินตนเอง ตรวจสอบพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
  2. การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นการเพิ่มความถี่ของพฤติกรรมโดยการให้แรงเสริมบวกหรือลดแรงเสริมลบทันทีที่เกิดพฤติกรรมที่พึงพอใจ (แรงเสริมบวกเป็นสิ่งที่ผู้รับพึงพอใจ ส่วนแรงเสริมลบเป็นสิ่งที่ผู้รับไม่พึงพอใจ)
  3. การลงโทษ (Punishment) เป็นการลดความถี่ของพฤติกรรมโดยการให้สิ่งที่ผู้รับไ่ม่พึงพอใจ หรือการลดสิ่งเร้าที่พึงพอใจ เช่น เด็กเกเร แม่ดุ หรือบางครั้งแม่อาจใช้วิธีการเมินเฉยแทน
  4. เทคนิคการปรับแต่ง (Shaping Technique) คือการปรับแต่งพฤติกรรมจากพฤติกรรมง่ายๆ ไปสู่พฤติกรรมที่ซับซ้อน อาจอาศัยกระบวนการ 2 กระบวนการคือ
    1. Successive approximation เป็นการใช้เทคนิคการเสริมแรง (Reinforcement) กับพฤติกรรมที่เหมือนหรือใกล้เคียงกับพฤติกรรมที่เราต้องการโดยดำเนินการเป็นขั้นตอน เริ่มต้นด้วยพฤติกรรมแรกๆ ไปจนถึงพฤติกรรมที่เราต้องการโดยดำเนินการเป็นขั้นตอน เริ่มต้นด้วยพฤติกรรมแรกๆ ไปจนถึงพฤติกรรมขั้นสุดท้าย
    2. Chaining เป็นการนำพฤติกรรมย่อยๆ ต่างๆ มาเรียงลำดับจากพฤติกรรมแรก (initial) จนถึงพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (terminal) แล้วเริ่มฝึกจากพฤติกรรมขั้นสุดท้ายขึ้นมา
  5. การวางเงื่อนไขแบบเคาเตอร์ (Counter Conditioning) เป็นการนำหลักการเรียนรู้ด้วยการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical Conditioning) มาใช้ในการปรับพฤติกรรมที่เป็นปัญหา โดยการจับคู่ระหว่างสิ่งเร้าที่เป็นกลาง กับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดพฤติกรรมด้วยตัวของมันเอง โดยการทำซ้ำๆ กัน จนกระทั่งสิ่งเร้าที่เป็นกลางกลายเป็นเงื่อนไขของพฤติกรรม การใช้เทคนิคนี้เป็นการเปลี่ยนคุณค่าของสิ่งเร้า Joseph Wolpe ได้นำวิธีการ Counter Conditioning มาใช้เพื่อลดความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ทำให้เกิดความกังวลใจกับปฏิกิริยาตอบสนองดังเช่น วิธี Systemic Desensitization คือการลดความรู้สึกวิตกกังวลอย่างมีระบบประกอบด้วย 3 ขั้นตอนคือ
    1. Hierrachy construction การจัดลำดับความกังวลจาก มากที่สุดไปน้อยที่สุด
    2. Relaxation training การฝึกการผ่อนคลายความเครียด
    3. Pairing of relaxation and anxiety scence การจับคู่กันระหว่างการผ่อนคลายกับความวิตกกังวล
  6. เทคนิคการใช้ตัวแบบ (Modeling technique) คือ เทคนิคการลดความกลัว หรือความวิตกกังวลโดยการให้ดูตัวแบบ หรือตัวอย่างที่อยู่ใกล้เคียงกับคนไข้แล้วให้เลียนแบบ อาจใช้หลักของ relaxation เข้าช่วย โดยมีความเชื่อว่า "มนุษย์เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากการสังเกตและปฏิบัติ ตามปกติพฤติกรรมของมนุษย์มักเกิดจากการได้สังเกตพฤติกรรมของผู้อื่น" วิธีนี้อาจใช้คู่กับ Systematic Desensitization เช่น การทดลองของ Bandura ในเด็กกลัวสุนัข ผู้บำบัดสร้าง Model ที่ดี ให้เด็กดูภาพที่เด็กเล่นกับสุนัขอย่างสนุกสนาน จัดลำดับความกลัวของเด็กจากน้อยไปมาก จากนั้นเอา Model ให้เด็กดู ค่อยๆ ให้เด็กปฏิบัติทีละขั้นตอนจากน้อยไปมาก ถ้าเด็กรู้สึกเครียด เมื่อเด็กเครียดมากให้เด็กทำ relaxation โดยผู้บำบัดสอนหรือให้ บิดา มารดา อยู่ใกล้ชิด
  7. การฝึกพฤติกรรมกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม (Assertive training) เป็นการฝึกให้ผู้รับการบำบัดกล้าแสดงออกถึงความรู้สึกที่ควรจะแสดงออกในสังคมโดยไม่วิตกกังวล เพื่อขจัดปฏิกิริยาตอบสนองที่มีความรู้สึกกังวล (เป็นการขจัด Unadaptive anxiety response) Wolp ได้ใช้วิธีการ Assertive training โดยให้ผู้รับการบำบัดกับผู้บำบัดผลัดกันเล่นบทบาท ให้ผู้รับการบำบัดช่วยดูจุดบกพร่องจากการแสดงบทบาทนั้น จนผู้ผู้รับการบำบัดจะเห็นว่าควรจะแก้ไขพฤติกรรมของตนเองตรงใหน และนำไปฝึกหัดในทางจิตเวช

 

พฤติกรรมบำบัด มักนิยมใช้ในลักษณะต่างๆ ดังนี้

  1. เด็กที่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา (Conduct behaviors in children) เด็กที่มีปัญหา การฝึกการขับถ่าย การควบคุมกล้ามเนื้อขับถ่าย เด็กดูดนิ้ว เด็กกลัวโรงเรียนเป็นต้น ใช้วิธีการเสริมแรงจะได้ผลดี
  2. ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมพึ่งพา (Dependent patient) ในพวก alcoholism, drug abuse ใช้ Classical conditioning technique ใช้พวก Antabuse (disulfiram) ทำให้ผู้ป่วยคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง ผู้ป่วยจะเกิดความกลัว
  3. ผู้ที่มีความพิการทางปัญญา (Mental retardation) ถือเป็นบทบาทที่พยาบาลทำได้ พยาบาลยอมรับและสนับสนุนให้ผู้ป่วยกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
  4. โรคอ้วน (Obesity) พวกที่รับประทานมากเกินไป ทำพฤติกรรมบำบัด โดย
    • การประเมินและกำกับตนเอง (Self monitoring) จดเวลารับประทานอาหารไว้ทุกครั้ง
    • แยกแยะสิ่งเร้าที่ทำให้อยากอาหาร จำกัดเวลา สถานที่
    • ผลัดผ่อนเวลารับประทานให้เลื่อนไปเรื่อยๆ
    • การใช้แบบอย่าง (Modeling)
  5. โรคกลัวผิดปกติ (Phobia) ในผู้ป่วยที่กลัวผิดปกติ
  6. โรคที่เจ็บปวดจากสภาวะทางจิตใจ (Psychogenic pain)
  7. ผู้ป่วยจิตเภท ผู้ป่วยหวาดระแวง (Schizophrenia & Paranoid)

โดยสรุปพฤติกรรมบำบัด (Behavior Therapy) เป็นวิธีการรักษาทางจิตเวชอย่างหนึ่ง ที่มุ่งแก้ปัญหาผู้ป่วยอย่างตรงไปตรงมาและเป็นไปได้ มากกว่าการมุ่งแก้ข้อขัดแย้ง โดยพยายามขจัดหรือลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ด้วยการใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ กลุ่มพฤติกรรมนิยม ทฤษฎีที่นำมาใช้คือ ทฤษฎี Classical conditioning เน้นที่สิ่งเร้าและการตอบสนอง โดยอาศัยการฝึกหัด และทฤษฎี Operant conitioning เน้นที่ผู้เรียนเป็นผู้กระทำพฤติกรรมก่อนแล้วจึงได้รับรางวัล เมื่อผู้กระทำทำแล้วได้รางวัลจึงเกิดการกระทำอีก เน้นที่การเสริมแรง (Reinforcement) ซึ่งมีเทคนิคและวิธีการในการปรุงแต่งพฤติกรรม คือ การประเมินและรายงานตนเอง (Self Monitoring) การเสริมแรง (Reinforcement) การลงโทษ (Punishment) เทคนิคการตกแต่งพฤติกรรม (Shaping Technique) การวางเงื่อนไขโดย Counter Conditioning การใช้เทคนิค Modeling การใช้การฝึกพฤติกรรมกล้าแสดงออก

Julius

นาฬิกาดีไซน์ความหลากหลายให้เข้ากับสไตล์ของคุณ More...

G-SHOCK

ต้นแบบเฉพาะตัวกับตัวเครื่องคุณภาพความทนทาน More...

Edifice

Edifice นาฬิกาลูกผู้ชาย ทรงอิทธิพลด้วยดีไซน์ที่เร้าใจ More...

Consultant



↑ เพิ่มเพื่อนจากทาง Line เพื่อปรึกษาปัญหาสุขภาพต่างๆ ได้ที่นี่...

Latest Posts

Map

You are here: บทความสุขภาพ โรคและการดูแล สุขภาพจิต พฤติกรรมบำบัด (Behavior Therapy)