อาการ ผื่นบวมแดงที่ผิวหนัง และมีอาการคัน พอเกาแล้วกลายเป็นผื่นแดง ผื่นที่เกิดขึ้นมีหลายรูปร่างและมี
ขนาดต่างๆ กัน เป็นอยู่นาน 3-24 ชั่วโมง ก็จะยุบไอเอง อาจเป็นผื่นลมพิษที่บริเวณเดิมได้อีกในวันหรือสองวันต่อมา บางคนอาจเป็นๆ หายๆ นานถึงหลายเดือน คนที่เป็นลมพิษมักมีอาการตั้งแต่เด็กจนโต หรือเพิ่งมาพบตอนโตเลยก็มีบ้าง
แบ่งตามลักษณะอาการช้า-เร็ว มี 2 ชนิด คือ
ลมพิษชนิดฉับพลัน คือ ผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บางรายอาจรุนแรง ลมพิษชนิดนี้หายไปภายใน 6 สัปดาห์ มักมีสาเหตุจากโรคติดเชื้อ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เป็นต้น และเกิดจากการแพ้ยาหรือสารเคมี ผื่นลมพิษที่เกิดจากการแพ้ยาจะมีผื่นขึ้นมาหลังทานยาไม่กี่ชั่วโมง และเป็นอยู่นาน 3-4 วัน เมื่อหยุดยาจะค่อยๆ หายไปเอง
ลมพิษชนิดเรื้อรัง คือ ผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่รุนแรง ผื่นจะขึ้นๆ ยุบๆ เป็นอยู่นานเกิน 6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่หาสาเหตุไม่พบ ผู้ป่วยจึงมีอาการผื่นลมพิษเป็นๆ หายๆ
อาจแบ่งชนิดของลมพิษตามความรุนแรงออกเป็น 2 ชนิด คือ
ชนิดรำคาญที่ไม่ได้ทำให้เกิดอันตราย กับ ชนิดอันตรายที่ทำให้ถึงกับเสียชีวิต
สาเหตุ เกิดจากร่างกายได้รับสิ่งที่แพ้ ทำให้สร้างสารฮีสตามีนออกมาจากเซลล์ใต้ผิวหนัง หลอดเลือดฝอยจึงขยายตัว มีน้ำเลือดซึมออกมาในผิวหนัง จึงมองเห็นเป็นผื่นนูนแดง และเกิดอาการบวม ร้อน คัน บางครั้งอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วยได้
- ถ้าการขยายตัวของหลอดเลือดเกิดในหนังแท้ส่วนบน จะมีอาการบวมแดง ร้อน ชัดเจน เรียก 'ลมพิษชนิดตื้น' ซึ่งเกิดบริเวณใดของผิวหนังก็ได้ มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาด 20 เซนติเมตร ผื่นมีหลายรูปแบบ เช่น กลม รี วงแหวน วงแหวนหลายๆ วงมาต่อกัน
- ถ้าการขยายตัวของหลอดเลือดเกิดในส่วนลึกของหนังแท้ อาการแดงมักเห็นไม่ชัดเจน แต่จะพบอาการบวมมากกว่าเรียก 'ลมพิษชนิดลึก' มักเกิดบริเวณรอบตา ปาก ปลายแขน รายที่เป็นรุนแรงจะบวมมาก โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและลำคอ จนอาจอุดตันของทางเดินลมหายใจ
สิ่งที่ทำให้เกิดลมพิษ ได้แก่
- อาหารทะเล เช่น กุ้ง ปู ปลาหมึก หอย ปลา เป็นต้น อาหารจำพวก โปรตีน เช่น ไข่ ถั่ว นม เป็นต้น อาหารหมักดอง เช่น หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง น้ำส้มสายชู น้ำพริก กะปิ ปลาร้า เป็นต้น อาหารใส่สารกันบูด อาหารใส่สีผสมอาหาร สุราและเครื่องดื่มอัลกอฮอล์ ขนมปัง และอาหารที่มีเชื้อยีสต์ผงฟูเป็นส่วนผสม
- สารเคมีที่ได้รับโดยตรงหรือปนเปื้อนมากับอาหารที่รับประทาน โดยไม่สามารถทราบได้เลย เช่น ยาปฏิชีวนะที่ตกค้างอยู่ในเนื้อไก่ เนื้อปลา ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในผัก เป็นต้น
- ผักและผลไม้บางชนิด เช่น แอปเปิล แตงกวา มันฝรั่ง มะเขือเทศ ส้ม ส้มโอ องุ่น เป็นต้น จะมีสารประเภทซาลีซัยเลต ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดลมพิษได้เช่นกัน
- ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะเพนนิซิลลิน ซัลฟา เป็นต้น ยาต้านอักเสบของกระดูกและข้อ ยาระบาย ยาแก้ปวด ยานอนหลับ หรือวิตามิน โดยอาการมักจะเกิดขึ้นทันทีภายหลังจากได้รับยา
- การติดเชื้อเรื้อรังหรือมีโรค เช่น ไวรัส แบคทีเรีย พยาธิ เป็นต้น เชื้อโรคเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายทางใดก็ได้ เช่น ทางเดินอาหาร ทางเดินลมหายใจ ทางเดินปัสสาวะและผิวหนัง รวมทั้งโรคฝันผุ ไธรอยด์ และการเป็นมะเร็ง
- การหายใจสูดฝุ่น เชื้อราในอากาศ เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ เข้าไปมากๆ ก็อาจก่อให้เกิดลมพิษได้
- แมลงอาจก่อให้เกิดลมพิษได้ จากการสัมผัสหรือถูกกัด เช่น ตัวไร ริ้น บุ้ง เป็นต้น หรือจากการต่อย เช่น ผึ้ง แตน ต่อ หมาร่า มดแดงไฟ มดตะนอย เป็นต้น บางครั้งอาการรุนแรงมาก มีลมพิษ บวมทั้งตัว บางคนอาจถึงขั้นช็อกหรือเสียชีวิตได้
- เครื่องสำอาจ ทาประทินผิว
- บางคนแพ้ความเย็น อากาศเย็น น้ำเย็น หรือแพ้ความร้อน อากาศร้อน ซึ่งอาจเกิดจากรรมพันธุ์ หรือเป็นผลจากโรคในร่างกาย เช่น ซิฟิลิส หรือมะเร็งบางชนิด
- การแพ้แดด พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะช่วงอายุ 30-40 ปี เมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเกิดผื่นคันขึ้นมา สามารถป้องกันได้ด้วยการทาครีมกันแดด
การรักษา
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้มีอาการลมพิษ ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ ควรพบแพทย์ และควรมีสมุดจดบันทึกจดจำไว้ว่าสิ่งใดที่ทำให้แพ้แล้วหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นเสีย
- ใช้ยาทาแก้ผดผื่นคัน หากยังไม่หายให้ทานยาแก้แพ้ยาต้านฮีสตามีนซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่ม ดังนี้
- ยาต้านฮีสตามีนชนิดทำให้ง่วงน้อย ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์กดอาการลมพิษได้ดี ไม่ค่อยทำให้ง่วงนอน แต่ราคาแพง ได้แก่ แอสเตไมโซล (Astemizole) ลอราทาดีน (Loratadine) เป็นต้น
- ยาต้านฮีสตามีนชนิดที่ทำให้ง่วงซึม มีฤทธิ์กดอาการผื่นคันดีมาก ข้อจำกัดของยากลุ่มนี้คือ อาการง่วงนอน ซึ่งพบบ่อยกว่ายากลุ่มแรก ยากลุ่มนี้มีหลายชนิด เช่น คลอเฟนนิรามีน บรอมฟิรามีน เป็นต้น
- ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อเป็นการขับสารพิษ ที่เป็นต้นเหตุของผื่นลมพิษออกไปทางไต และควรระวังไม่ให้ท้องผูก เพื่อเป็นการกำจัดของเสียออกทางอุจจาระ
- สำหรับสมุนไพรที่ใช้แก้ลมพิษ คือ ใช้ใบพลู ล้างสะอาด โขลกละเอียด ผสมเหล้า ทาบริเวณที่เป็นลมพิษบ่อยๆ
- กรณีที่เป็นลมพิษเรื้อรัง หาสาเหตุไม่ได้ ควรรับประทานยาต้านฮีสตามีนเพื่อคุมอาการของลมพิษให้สงบ ติดต่อกันนาน 2-4 สัปดาห์ ขนาดของยาต้านฮีสตามีนที่จะใช้การคุมอาการลมพิษจะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- กรณีที่ผื่นลมพิษรุนแรงรวมกับอาการแน่นหน้าอก ควรรีบไปพบแพทย์