อาการ ผิวหนังเปลี่ยนแปลงจากสีปกติ เป็นผิวหนังที่มีรอยด่างสีขาวมากเหมือนน้ำนมเป็นปื้นขนาดใหญ่
ขึ้นเรื่อยๆ ปื้นขาวนี้จะขาวมากและมีขอบเขตมีหลายรูปแบบ เป็นวงเดียว หรือหลายวงก็ได้ ขนและผม อาจขาวด้วยก็ได้ ไม่มีอาการคัน ไม่ปวด และไม่สูญเสียความรู้สึกเจ็บปวดในบริเวณด่างขาว
บางครั้งถ้ามีการอักเสบ จะพบว่าขอบจะแดงชัดและนูนขึ้น อาจมีอาการคันได้ ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าหากรอยด่างขาวต้องไปตากแดดนานจะมีอาการปวดแดงแสบร้อนกว่าบริเวณอื่น
มักพบที่ใบหน้า ริมฝีปาก หลังมือ คอ หลังเท้า และอวัยวะสืบพันธุ์ วงด่างขาวมักนูนออกไปเรื่อยๆ หากขึ้นที่หนังศีรษะก็จะทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นสีขาวเช่นกัน โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย ทุกเพศ โดยร้อยละ 50 เริ่มเป็นตอนอายุ 10-30 ปี หากมีคนในครอบครัวเป็น โอกาสเป็นโรคนี้จะสูงกว่าคนทั่วไป ร้อยละ 30 โรคนี้ไม่มีวิธีป้องกัน แต่เป็นโรคที่ไม่อันตราย และจำนวนผู้ป่วยไม่มาก
สาเหตุ เกิดจากภูมิแพ้ตนเองชนิดหนึ่งที่เกิดการทำลายตัวเซลล์สร้างเม็ดสี ทำให้ไม่มีการสร้างสารสีเมลานินที่ผิวหนังเป็นหย่อมๆ ซึ่งการทำลายนั้นอาจมีผลจากกระบวนการสร้างสีของตัวเซลล์สร้างสีเองมีสารที่เป็นพิษเกิดขึ้น ในระหว่างกระบวนการสร้างสี และทำลายเซลล์สร้างสี หรืออาจเป็นเพราะสารที่หลั่งจากปลายเซลล์ประสาท เป็นสารที่ทำลายเซลล์สร้างสีได้ หรืออาจเป็นเพราะร่างกายสร้างสารต่อต้านเซลล์สร้างสีของตัวเองก็ได้
การรักษา โรคด่างขาวไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด ไม่รักษาก็ได้ แต่หากมีปัญหาเรื่องความสวยงามควรไปพบแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะมียาทาและยารับประทาน เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างสารสีมาแทนที่บริเวณด่างขาว และให้ผู้ป่วยตากแดดหรือฉายแสงในเวลาที่แพทย์กำหนด
- ยาเมลาดินีน (Meladinine) ทาแล้วต้องไปอาบแดดด้วย อาจจะค่อยๆ เพิ่มเวลาจาก 5-15 นาที พบว่ามีการกลับคืนมาของสีผิวได้เอง ในรอยด่างบางส่วนถึงร้อยละ 30
- ใช้ยารับประทานโซราเลน (psoralen) แล้วฉายแสง ได้ผลประมาณร้อยละ 50-70 สำหรับรอยโรคบริเวณใบหน้า ตัว ต้นแขนและต้นขา
ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงแสงแดดแรงง สามารถใช้ครีมกันแดด แต่ก็ต้องระวังเรื่องเวลาในการโดนแดด อย่าให้นานเกินไป
การรักษาด้วยปลูกเซลล์สร้างสี โดยลอกผิวหนังที่เป็นโรคทิ้ง นำผิวหนังปกติที่มีเซลล์สร้างสีอยู่มาปลูกแทน วิธีนี้ได้ผลดี แต่ทำได้ครั้งละไม่มากจึงต้องทำซ้ำหลายๆ ครั้ง และค่าใช้จ่ายสูง