อาการ มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น มือสั่น หงุดหงิด กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ เป็นคนขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย ฝ่ามือ
ชุ่มเหงื่อตลอดเวลา ตัวผอมลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะทานเก่งกว่าเดิม เพราะการเผาผลาญอาหารมากเกินไป บางคนกล้ามเนื้ออ่อนแรงเพราะโปตัสเซียมต่ำ ผู้หญิงบางคนประจำเดือนมาน้อย มาไม่สม่ำเสมอ โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงอายุ 20-40 ปี อาจมีก้อนโตที่ลำคอเรียกว่า คอพอก และตาอาจโปนได้
สาเหตุ เกิดจากต่อมไธรอยด์ทำงานมากเกินไป หลั่งฮอร์โมนไธรอกซินออกมากระตุ้นร่างกายทำงานมากขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ทั่วร่างกาย ทำให้เกิดความร้อน ช่วยทำให้ร่างกาย สมอง กระดูก และอวัยวะสืบพันธุ์มีการเจริญเติบโตอย่างเป็นปกติ ผู้ป่วยโรคนี้มักไม่ค่อยอยู่นิ่ง ต้องหาอะไรทำอยู่เสมอ และมีอาการผิดปกติต่างๆ ดังกล่าว สาเหตุที่ต่อไธรอยด์ทำงานมากเกินไปมีหลายอย่าง เช่น เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ตนเอง ความเครียดและกรรมพันธุ์
ต่อมไธรอยด์ เป็นต่อมไร้ท่อชนิดหนึ่งอยู่ตรงหน้าหลอดลมที่คอของเราแบ่งออกเป็น 2 กลีบ มีกลีบซ้าย กับ กลับขวา แล้วเชื่อมต่อกันตรงกลางด้วยส่วนคอดเล็กๆ ปกติต่อมมีขนาดเล็กมาก น้ำหนักเพียง 20 กรัม แต่เมื่อคอหอยพอก จะทำให้ต่อมไธรอยด์มีขนาดใหญ่ขึ้นจนสามารถคลำหรือสังเกตได้
คอพอกแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
- คอพอกแบบไม่เป็นพิษ โรคนี้ผู้ป่วยมักมีอาการดังกล่าวเรื้อรัง แต่ไม่รุนแรงนานเป็นปีๆ บางคนอาจหายได้เอง แต่ก็อาจจะกำเริบได้อีก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ควรไปพบแพทย์ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากขาดไอโอดีน การรักษาถ้าแพทย์เห็นว่าต่อมไธรอยด์มีขนาดใหญ่มาก จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ก็มักพิจารณาทำการผ่าตัดให้กับผู้ป่วย
- คอพอกแบบเป็นพิษ มีอาการดังกล่าวอย่างรุนแรง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากต่อมไธรอยด์ มีการสร้างฮอร์โมนมากเกินไป อาจเกิดจากการที่ต่อมไธรอยด์ของผู้ป่วยมีความผิดปกติเอง โดยอาจมาจากกรรมพันธุ์หรือเกิดจากความเครียด ทำให้มีการหลั่งของฮอร์โมนไธรอยด์มากขึ้น หรืออาจได้รับสารหรือยาบางชนิดเข้าไป แล้วกระตุ้นให้ต่อมไธรอยด์สร้างฮอร์โมนมากเกินไป ทำให้ต่อมไธรอยด์มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือก้อนเนื้องอกที่ต่อมไธรอยด์โต พบเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 5 เท่า
การรักษา แพทย์วินิจฉัยโดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และต้องเจาะเลือดดูระดับฮอร์โมนไทรอกซิน (T3, T4, TSH)
คอพอกธรรมดาเป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาด้วยให้ยาต้านฮอร์โมนควบคุมไปจนกว่าระดับไธรอยด์ ฮอร์โมนจะเข้าสู่ระดับปกติ นอกจากนั้นหากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้น อาจต้องฉายรังสี ดื่มน้ำแร่กัมมันตภาพรังสี รวมทั้งอาจต้องผ่าตัด
การรักษาคอพอกแบบเป็นพิษ ปัจจุบันสามารถทำได้หลายวิธี มีตั้งแต่การใช้ยาต้านการทำงานของต่อมไธรอยด์ เพื่อลดปริมาณการสร้างฮอร์โมน โดยผู้ป่วยต้องรับประทานยาติดต่อกัน 6 เดือน ถึง 1 ปีครึ่ง และถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์ก็อาจพิจารณาการรักษาโดยวิธีอื่นต่อไป มีตั้งแต่การฉายรังสีหรือการดื่มน้ำแร่กัมมันตรังสี เพื่อไปทำลายเนื้อต่อมไธรอยด์บางส่วน และอีกวิธีคือ การผ่าตัดก้อนเนื้อของต่อมไธรอยด์