อาการ 1. อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง หัวใจเต้นช้าลง ชีพจรอ่อนลง 2. ผิวหยาบแห้ง ผิวซีด มีเหงื่อน้อย
ผมแห้ง ผมร่วง
3. กระวนกระวาย อารมณ์แปรปรวน บางรายเกิดภาวะซึมเศร้า ขี้ลืม ความจำไม่ดีเหมือนเดิม
4. เสียงแหบ กลืนลำบาก
5. เบื่ออาหาร แต่น้ำหนักเพิ่ม และหน้าบวม แบบกดไม่บุ๋ม ขี้หนาว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องผูก
6. ประจำเดือนผิดปกติ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ความรุนแรงในแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ในรายที่อาการรุนแรงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย ภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง ภาวะหมดสติ เป็นต้น
สาเหตุ เกิดจากต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยเกินไป (เกิดจากการขาดไอโอดีนเป็นส่วนใหญ่) สร้างฮอร์โมนออกมาน้อย ร่างกายจะขาดฮอร์โมน ไธรอยด์ที่พอเพียงสำหรับการเผาผลาญอาหาร การที่ต่อมไธรอยด์ทำงานน้อยอาจเป็นเพราะ
- ผู้ป่วยมีการติดเชื้อที่ต่อมไธรอยด์ โดยจะมีอาการอื่นร่วม คือ มีไข้ อ่อนเพลีย มีการกดเจ็บบริเวณต่อมไธรอยด์
- มีการอักเสบของต่อมไธรอยด์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เซลล์ส่วนใหญ่ของต่อมไธรอยด์ได้รับความเสียหาย เกิดการตายของเซลล์ และไม่สามารถสร้างฮอร์โมนไธรอยด์ได้พอเพียง
- อาจเกิดจากการผ่าตัดหรือฉายรังสีตรงต่อมไธรอยด์มากเกินไป
- เกิดจากการได้น้ำแร่ที่ใช้รักษาคอพอกเป็นพิษ ซึ่งน้ำแร่ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสี จะทำลายบางส่วนของต่อมไธรอยด์
- มีปัญหารอยโรคในสมองตรงตำแหน่งเกี่ยวกับศูนย์ควบคุมการหลั่งฮอร์โมน
- อาจเกิดจากโรคทางแพ้ภูมิตนเองที่ร่างกายเข้าใจว่าฮอร์โมนไธรอยด์เป็นสิ่งแปลกปลอม และทำการขจัดฮอร์โมนนั้นไป
การรักษา แพทย์วินิจฉัยโดยอาศัยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และต้องเจาะเลือดดูระดับฮอร์โมน TSH, T3, T4 เป็นระยะว่า อยู่ในระดับปกติหรือไม่ และอาจต้องตรวจดูสาเหตุของโรค เช่น การติดเชื้อหรือรอยโรคที่สมองเป็นต้น โรคนี้รักษาด้วยการทานฮอร์โมนชดเชยไปจนกว่าระดับฮอร์โมนจะปกติ