อาการ เริ่มแรกมักมีอาการปวด บวมแดง ร้อนที่ข้อนิ้วหัวแม่เท้าหรือข้อเท้า อาจมีไข้ อ่อนเพลีย หากไม่ไปพบ
แพทย์ อาการปวดจะคงอยู่นานประมาณ 2-3 วัน แล้วจะหายไปนานเลย ไม่มีการอักเสบ ทุกอย่างเหมือนปกติ ทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าโรคยังดำเนินอยู่
หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี มีอาการกำเริบโดยเป็นที่ข้อเดิม แต่ปวดบ่อย และปวดมากขึ้น อย่างเช่น ปวดทุก 4 เดือน กลายเป็นปวดทุก 3 เดือน จนกระทั่งปวดทุกเดือน ปวดทุกวัน และปวดตลอดเวลา ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ และปวดหลายๆ ข้อ ผู้ป่วยมักปวดมากในตอนกลางคืน และปวดมากหลังดื่มเหล้าหรือเบียร์อย่างเห็นได้ชัดเจน เพราะเครื่องดื่มประเภทนี้เป็นสาเหตุให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง
เมื่อเป็นมากมักจะมีปุ่มก้อนโทฟัส ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของสารยูริก ขึ้นที่บริเวณที่เคยอักเสบบ่อยๆ อย่างเช่น ที่ข้อนิ้วมือหลายปุ่ม ที่ข้อศอก หรือข้อเข่า ตามเอ็นเหนียวต่างๆ อย่างเช่น เอ็นที่มือ บางครั้งปุ่มโทฟัสแตกออกมีสารขาวๆ คล้ายชอล์กหรือยาสีฟัน ไหลออกมากลายเป็นแผลเรื้อรังหายยาก
สาเหตุ โรคนี้เกิดจากมีการสร้างกรดยูริก และการกำจัดกรดยูริกผิดปกติไป ทำให้มีกรดยูริกสะสมตามข้อต่อกระดูกจนเกิดการอักเสบ บวมแดง ในสมัยก่อนผู้ป่วยจะถูกโรคทำลายข้อต่อจนผิดรูป
การรักษา โรคเกาต์สามารถตรวจพบได้ง่าย เพียงเจาะเลือดตรวจหาระดับกรดยูริกในเลือด พบว่าสูงกว่าคนปกติ ในรายที่รุนแรงมีข้อบวม แพทย์อาจเจาะน้ำไขข้อที่บวมมาตรวจ จะพบผลึกกรดยูริกแหลมที่เกาะตามข้อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องจำเป็นนัก
การรักษาหากพบตั้งแต่ต้น จะรักษาได้ง่ายกว่าโรคข้อชนิดอื่นมากๆ แพทย์จะให้ทานยาลดกรดยูริกอย่างต่อเนื่อง ยาลดกรดยูริก มีผลข้างเคียงที่แม้จะพบไม่มาก แต่รุนแรง คือ เกิดผื่นแพ้ยารุนแรง และผิวหนังหลุดลอก ซึ่งการทานยาไม่สม่ำเสมอ จะเสี่ยงต่อการแพ้ยามากขึ้น สำหรับคนที่ตรวจพบกรดยูริกสูง แต่ไม่ได้มีอาการปวดข้อมาก่อน ไม่จำเป็นต้องทานยาลดกรดยูริก อีกประการหนึ่งผู้ป่วยโรคเกาต์อย่าได้ไปซื้อยาแก้ปวดเข่ามาใช้เอง เพราะไม่ได้แก้ที่สาเหตุของโรค
ระวังตอนที่ข้อยังปวดบวมอักเสบ ห้ามทาถูนวด เพราะไม่ได้ช่วยให้หายปวด ซึ่งแตกต่างจากโรคปวดข้ออื่นๆ ผู้ป่วยควรควบคุมอาหารโดยเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น จำพวกเครื่องในสัตว์ทุกชนิด เนื้อสัตว์ปีก ปลาซาร์ดีน ปลาไส้ตัน เป็นต้น ไม่ทานเนื้อสัตว์มากเกินไป ควรดื่มน้ำให้มาก เพื่อให้ขับกรดยูริกออกได้ง่าย