อาการ ผู้หญิงบางคนเป็นโรคนี้โดยที่ไม่มีอาการแสดงอะไรเลยก็ได้ นอกจากตรวจพบโดยบังเอิญ อย่างเช่น
จากการตรวจภายใน หรือมีการผ่าตัดภายในช่องท้องแล้วพบเข้า แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการเหล่านี้
1. ปวดท้องตื้อๆ และปวดนานเวลามีประจำเดือน ทุกครั้งของการมีรอบเดือน ปวดทรมานและสร้างความเบื่อหน่าย
2. ปวดท้องน้อยก่อนหรือหลังมีประจำเดือน อาจมีปวดหลังหรือปวดขาร่วมด้วย
3. มีประจำเดือนมาผิดปกติ เช่น มีมากผิดปกติ
4. เจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์
5. อาการจะรุนแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปโดยไม่ได้รับการรักษา และทำให้มีบุตรยาก
สาเหตุ เกิดจากเนื้อเยื่อบุมดลูกไปเจริญขึ้นเติบโตอยู่ผิดตำแหน่ง เช่น ไปเกิดขึ้นที่รังไข่ เป็นต้น การเกิดโรคนี้ถือเป็นการทำงานผิดพลาดของระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง ทางการแพทย์เชื่อว่า เกิดจากการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือนผ่านทางหลอดมดลูกไปฝังตัวตามที่ต่างๆ อย่างเช่น ที่รังไข่ บริเวณอุ้งเชิงกราน หรือบริเวณนอกมดลูกเกิดเป็นเซลล์เยื่อบุที่มีลักษณะเหมือนถุงน้ำที่มีเลือดออกอยู่ภายในและไม่สามารถขับออกมาได้
เมื่อหมดรอบเดือนน้ำก็จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย เหลือแต่เลือดเข้มข้นค้างอยู่ นานเข้าเนื้อเยื่อนี้ก็จะกลายเป็นสีน้ำตาล หลายคนจึงเรีึยกว่า ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate cyst)
เมื่อถึงเวลารอบเดือนถัดไป มีการตกไข่และมีการหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนอีก เนื้อเยื่อบุนอกมดลูกเหล่านี้ก็จะตอบสนองต่อฮอร์โมนด้วย โดยเจริญเติบโต หนาตัวขึ้น แล้วสลายตัวเพื่อกลายเป็นเลือดประจำเดือน แต่เมื่อเกิดขึ้นนอกมดลูกจึงไม่สามารถขับออกได้ ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกที แล้วไปดันหรือกดเอาอวัยวะภายในอื่นๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะ หรือผนังช่องท้อง ผนังลำไส้ ทำให้เกิดการระคายเคืองและปวดท้อง เป็นต้น
บางคนโชคไม่ดี เพราะน่าเยื่อบุที่อุ้มเลือดเก่าๆ เหล่านี้แตกขึ้นมา ก็จะยิ่งทำให้เกิดอาการปวดท้องเฉียบพลันรุนแรง แต่สำหรับบางคนที่โชคค่อนข้างดี เนื้อเยื่อผิดปกตินี้สามารถฝ่อไปได้เองหากมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเพศ
ผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยง คือ
1. มีประวัติครอบครัว โดยเฉพาะทางมารดาหรือว่าพี่สาว น้องสาว จะมีโอกาสเป็นโรคที่สูงขึ้นมากกว่าคนทั่วไป 3-10 เท่า
2. พบในวัย 30 ปีขึ้นไป และที่สำคัญคือ ยังไม่แต่งงาน หรือยังไม่มีบุตร
3. คนที่มีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อยหรือประจำเดือนรอบสั้น เดือนหนึ่งมีมากกว่า 2 ครั้ง หรือเลือดประจำเดือนออกมากหรือออกนานมากกว่า 7 วัน ดังนั้นจะมีโอกาสที่เลือดประจำเดือนไหลกลับเข้าสู่ช่องท้องสูงขึ้น ก็มีโอกาสเป็นโรคสูงขึ้น
4. คนที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้หญิงเป็นโรคเอสแอลอี โรคแพ้ภูมิตนเอง เป็นต้น
5. คนที่เยื่อพรหมจารีปิด แทนที่เลือดประจำเดือนจะไหลออกมาข้างนอกทั้งหมด กลับถูกอุดกั้นอยู่ภายในช่องท้อง
มีปัจจัยต่างๆ มาลดความเสี่ยงของโรค คือ
1. การตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีการตั้งครรภ์หลายครั้ง โอกาสเป็นโรคก็จะน้อยลง เนื่องจากกว่าช่วงของการตั้งครรภ์ผู้หญิงจะไม่มีภาวะของการมีประจำเดือนไปเป็นเวลา 9 เดือน ดังนั้นโอกาสที่เลือดประจำเดือนจะไหลย้อนกลับก็จะน้อยลง
2. หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด ซึ่งยาคุมกำเนิดจะมีฮอร์โมนที่มีชื่อว่า โปรเจสเตอโรน ยาชนิดนี้เป็นตัวที่ทำให้ตัวเยื่อบุโพรงมดลูกหาย โอกาสการเกิดโรคจะน้อยลง
3. การออกกำลังกายมากๆ โดยเฉพาะการออกกำลังกายมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น มากกว่าสัปดาห์ละ 7 ชั่วโมง พบว่าเป็นการลดฮอร์โมนเอสโตรเจน ส่งผลทำให้เกิดโรคนี้น้อยลง
การรักษา หากมีการตั้งครรภ์จะไม่มีประจำเดือน ไม่มีการตกไข่ รังไข่จะหยุดสร้างฮอร์โมนและหลั่งฮอร์โมนเพศ ทำให้เยื่อบุมดลูกที่ขึ้นผิดที่เหล่านี้ลดและฝ่อหายไปเองตามธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อแพทย์พบโรคนี้ในผู้หญิงวัย 40 กว่าปีขึ้นไป ซึ่งใกล้หมดประจำเดือน ส่วนใหญ่จะรอให้หมดประจำเดือนแล้วโรคจะหายไปเอง เพราะโรคนี้ไม่มีอันตรายมากนักและไม่ใช่มะเร็ง แต่จะทำให้ปวดท้องมากเมื่อมีประจำเดือนเท่านั้น
สำหรับหญิงสาวอายุยังน้อย จำเป็นต้องรักษาเพื่อลดอาการปวดที่จะยังคงอยู่นานหากไม่รักษา
ลดการดำเนินไปของโรค การรักษานั้นมีหลายวิธี
1. การรักษาด้วยฮอร์โมน มีทั้งแบบฉีดและยาเม็ดสำหรับรับประทานมีระยะเวลาและปริมาณกำหนดการใช้ เนื่องจากเป็นฮอร์โมน จึงมีอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้
2. การผ่าตัดใหญ่ทางหน้าท้อง เพื่อตัดเอาเนื้อเยื่อบุมดลูกที่เจริญผิดที่ออก ขึ้นกับความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
3. การผ่าตัดด้วยกล้องส่อง (Laparoscope) เจาะผ่านหน้าท้องเพียง 3-4 รูเท่านั้น ตัดเอาเนื้อเยื่อเหล่านั้นออกมา ทำให้เจ็บตัวน้อยกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่าแบบผ่าตัดหน้าท้อง
หลังจากผ่าตัดนำเนื้อเยื่อบุที่เจริญผิดที่ออกแล้ว แพทย์อาจให้การรักษาต่อเนื่องด้วยการให้ฮอร์โมนร่วมด้วย แต่ไม่ว่าจะได้รับการรักษาแบบใดไปแล้ว โอกาสที่กลับมาเป็นซ้ำได้อีกมีสูงกว่าคนทั่วไป
การป้องกันไม่ให้ประจำเดือนไหลย้อน อาจทำได้โดยขณะมีประจำเดือนควรอยู่ในท่าร่างกายส่วนล่างสูงกว่าร่างกายส่วนบน