คุณเคยคิดที่จะพึ่งพาอาหารเสริมสำเร็จรูปสำหรับลูกบ้างหรือไม่ ถ้าเป็นเวิร์กกิ้งมัม เชื่อว่าคงคิดเพราะอาหาร
เสริมสำเร็จรูป ถือเป็นตัวช่วยที่ลดความยุ่งยาก ทุ่นเวลา และอำนวยความสะดวก โดยเฉพาะคุณแม่ที่ไม่มีผู้ช่วยเตรียมอาหาร และแม้มีราคาสูง แต่ถ้ามีเวลาไม่มากนัก และไม่มีทางเลือกอื่น ก็ขอให้คิดว่าการให้ลูกได้รับอาหารก็ยังถือว่าดีกว่าให้กินแต่นม ซึ่งทำให้เกิดปัญหากินยากต่อไปได้ และเพื่อให้ลูกได้รับอาหารอย่างมีคุณค่า สารอาหาร มีข้อปฏิบัติ 6 ข้อสำหรับคุณแม่ที่คิดจะพึ่่งอาหารเหล่านี้ค่ะ
1. ต้องดูฉลากให้รู้ชื่ออาหาร
- เช่น รู้คำว่า strained คือ อาหารที่ผ่านการบดละเอียดจนเป็นเนื้อเดียว สำหรับเด็กที่เริ่มได้รับอาหารเสริม คำว่า junior คือ อาหารที่มีทั้งบดและสับละเอียดปนกัน เหมาะสำหรับเด็กวัย 7 เดือน ซึ่งเริ่มฝึกการบดเคี้ยว
- ที่ฉลากมักระบุว่าเป็นอาหารชนิดเดี่ยวหรือผสม ชนิดเดี่ยวเหมาะกับการเริ่มให้อาหารแต่ละชนิด เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้รสชาติ ส่วนชนิดผสมควรใช้เมื่อเคยใช้ชนิดเดี่ยวมาแล้ว และถ้าหากเกิดอาการแพ้ก็จะได้รู้ว่าแพ้อาหารชนิดใด ซึ่งชนิดผสมมีทั้งอาหารประเภทแป้ง เนื้อสัตว์ ผัก รวมกัน จึงทำให้ลูกได้รับอาหารครอบคลุมหลายหมู่
- สำหรับอาหารเสริมชนิดผงละลายน้ำที่เป็นธัญพืชที่มีนมผสมอยู่ หรือธัญกับถั่ว โดยมีส่วนผสมหลักเป็นธัญพืชนั้น ควรเพิ่มอาหารหมู่อื่นๆ ให้ครบ 5 หมู่ด้วยค่ะ
- ส่วนอาหารเสริมที่ระบุคำว่า 'ชนิดข้น' ไว้หลังชื่ออาหาร แสดงว่ามีส่วนผสมของอาหารชนิดนั้นๆ อย่างเข้มข้น ก็ควรใช้อย่างพิจารณาให้ดีว่าจะนำไปผสมกับอาหารอื่นในสัดส่วนเท่าใดจึงจะเหมาะสมด้วยนะคะ
- ดูอายุที่มักระบุว่าใช้ได้ถึงอายุ 3 ปีนั้น ตามพัฒนาการของการกิน เด็กสามารถกินอาหารแบบผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่อายุประมาณ 1 ปี แต่อาหารนั้นก็ควรสุกนิ่มพอควร หั่นเป็นชิ้นให้เหมาะกับความสามารถในการเคี้ยวและความสะดวกในการตักเข้าปาก จึงควรให้ลูกกินอาหารบดหรือสับละเอียดอยู่นะคะ
2. ต้องดูส่วนประกอบสำคัญ
เพื่อทราบส่วนผสมของอาหารนั้นว่ามีสัดส่วนมากน้อยเพียงใด ถ้าไม่ได้สังเกตให้ละเอียด ดูเพียงชื่อก็จะไม่รู้ส่วนประกอบทั้งหมด เช่น อาหารชื่อกล้วยพุดดิ้ง มีส่วนผสมของกล้วย แป้ง ไข่แดง หากลูกเคยมีประวัติแพ้ไข่แดง ควรเลี่ยงไปก่อน นอกจากนี้ที่ฉลากยังระบุคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ พลังงาน โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน แล้วยิ่งถ้ามีระบุปริมาณธาตุเหล็กได้ด้วยก็จะดีสำหรับลูกนะคะ
3. ต้องดูวิธีกิน
สำหรับอาหารเสริมชนิดขวด มักระบุที่ฉลากว่าเปิดรับประทานได้ทันที ซึ่งในกรณีที่เป็นอาหารคาวมักนิยมอุ่นก่อน แต่มีข้อควรระวัง คือ ต้องเปิดฝาก่อนนำไปอุ่น ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำเร็จรูปบางบริษัทอาจไม่ระบุข้อความนี้เป็นภาษาไทย ต้องดูให้ดีด้วยนะคะ
4. ต้องดูวิธีเก็บรักษา
กรณีที่ต้องการแบ่งอาหารบางส่วนเก็บไว้ ให้แบ่งก่อนป้อน โดยใส่ภาชนะเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาได้ไม่เกิน 48 ชั่วโมง ถ้าเก็บในช่องแช่แข็งจะเก็บได้นาน แต่ลักษณะของอาหารอาจเปลี่ยนแปลง ทำให้ความน่ากินลดลง และคุณค่าทางโภชนาการของสารอาหารบางชนิดจะค่อยๆ ลดลง
5. ต้องดูวันหมดอายุ
อาหารเสริมชนิดขวดมักระบุวันหมดอายุที่ปากขวด ส่วนชนิดกล่องหรือกระป๋องมักระบุใต้ภาชนะบรรจุ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบางบริษัทพิมพ์ตัวเลขวันหมดอายุซึ่งอ่านค่อนข้างยาก ถ้าสงสัยคุณแม่ควรตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจก่อนนำไปใช้
6. ต้องดูข้อสังเกตอื่น
อาหารเสริมชนิดขวดประเภทธัญพืชผัก หรือเนื้อสัตว์ จะมีรสจืด ซึ่งสามารถให้ลูกได้โดยไม่จำเป็นต้องเติมเครื่องปรุงรส ส่วนอาหารเสริมชนิดผงที่ทำจากธัญพืชบางชนิดมีน้ำตาลทรายเป็นองค์ประกอบทำให้มีรสหวาน ซึ่งลูกวัยนี้มักจะชอบแต่อาจทำให้ลูกติดรสหวานได้ ซึ่งก็ไม่ควรให้ลูกกินนะคะ คุณแม่ควรเลือกอาหารรสจืด หรือถ้าจะมีรสหวานอยู่บ้าง ก็ขอให้เป็นรสหวานที่ได้จากผลไม้นะคะ