เชื่อเสมอมาว่าด้วยอำนาจแห่งความรัก และพลังแห่งความดีของพ่อแม่นี่แหละ ที่ปกคลุ้มชีวิตลูกทุกคนให้มีชีวิต
ที่ร่มเย็นเป็นสุขเพราะพ่อแม่นั้นเฝ้าเลี้ยงดูชูชุบลูก ด้วยเลือดเนื้อ ชีวิต สติปัญญาและจิตวิญญาณ
จึงถือเป็นมงคลทุกครั้ง ที่ได้เล่าเรื่องของแม่... แม่กาญจนา ปิ่นประทีป มะลิวัลย์ .. ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นแม่อย่างยิ่งใหญ่ กับการสร้างชีวิตและจิตวิญญาณของลูกด้วยชีวิต สติปัญญา และความรัก อย่างไม่มีวันลดน้อยถอยลง.. ไม่มีที่สิ้นสุด กระทั่งลูกทั้ง 8 ดำรงชีวิตอย่างไม่ประมาท ขาดสติ นำพาชีวิตพ้นจากอบายและอกุศลทั้งปวงได้ตลอดรอดฝั่ง ความรักของแม่ เป็นความรักแท้ ที่ไม่ทำร้ายวิถีชีวิตของลูกๆ ความรักของแม่ เป็นความรักที่ไม่ปนเปื้อน ไม่พร่ามัวหน
แม่ไม่เคยให้ความสำคัญกับวัตถุมากไปกว่าการให้จิตใจ แต่ลูกก็ไม่เคยรู้สึกว่าขาดใดๆ ลูกของแม่ต่างรับรู้ว่า นับแต่สิ้นพ่อแม่นี่แหละที่ประคองชีวิต พาลูกฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการครั้งแล้วครั้งเล่า
หลายครั้งที่แม่ยอมขาดเพื่อให้ลูกครบ หลายครั้งที่แม่ยอมอดเพื่อให้ลูกอิ่ม และหลายครั้งที่แม่ยอมเสียสละสิ่งที่แม่ต้องการ เพื่อให้ลูกได้ในสิ่งที่ต้องการ มิใช่เพียงเพราะรัก แต่แม่ให้ชีวิตทั้งชีวิตของแม่กับลูก ในชีวิตจึงไม่ต้องการสิ่งใดเพราะมีอ้อมกอดของแม่... มือที่หยาบกร้านเพราะทำงานหนักของแม่ คือ มือที่นุ่มนวลที่สุดของลูก ทุกครั้งที่แม่สัมผัสความรักที่ผ่านมือแม่แผ่เข้าสู่ชีวิต มีแต่ความละมุนอุ่นเกศ
เมื่อลูกอ่อนแอ มือแม่ที่สัมผัสทำให้เข้มแข็ง เมื่อลูกทุกข์ มือของแม่ที่สัมผัสทำให้สุข และเมื่อลูกล้ม มือของแม่นี่แหละ ที่ยื่นมาสัมผัสแล้วประคองให้ลุกขึ้นยืนได้อย่างสง่างาม
ไม่ว่าแม่จะเหนื่อยจากการทำงานแค่ไหน เมื่อกลับถึงบ้าน แม่ต้องหุง ต้องทั้งหาข้าวปลาอาหารทั้งคาว หวานและส้มสูกลูกไม้ ให้ทุกคนกิน แล้วดูแลความเรียบร้อยของทุกคนจนค่ำจึงได้พัก
ยามพักผ่อน แม่ยังสร้างโมงยามแห่งสุขให้กับลูกแม่เล่านิทานให้ฟังทุกคืน ลูกๆ จึงหลับตาลงอย่างเป็นสุข และตื่นลืมตาขึ้นมาอย่างสดใส และเบิกบานอยู่เป็นนิจ
แม่จำรายละเอียดของลูกทุกคนได้ขึ้นใจ แม่จำได้เสมอว่า พี่ยัณห์ชอบกินแกงจืดลูกรอก พี่หน่อยชอบกินน้ำพริกอ่อง พี่หนุ่ยชอบกินแกงเผ็ดเนื้อสับ พี่นิดชอบกินปลาเกลือ พี่ตุ๊กติ๊กชอบกินแกงส้ม ตุ๊บปองชอบกินลางสาด นิ้งหน่องชอบกินข้าวต้มมัดและน้องน้อยชอบกินกล้วยบวดชี และลูกทุกคนชอบกินมะม่วงแก้มแดง และขนมจีนน้ำยาปลาช่อนฝืมือแม่
แต่โดยแท้แล้ว ลูกทุกคนชอบกินอาหารทุกอย่างที่แม่ทำ... นั่นแหละ
บ้านเราถือคำพูดของพ่อของแม่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเชื่อในความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก
พ่อแม่ไม่เคยตีตราลูกว่าขี้เกียจ โง่ ดื้อด้าน หรือว่าร้ายให้หม่นใจ ลูกจึงเติบโตมาท่ามกลางความรัก ความสุภาพ การเอาใจใส่ ความสุข และเสียงหัวเราะ
ครั้นเมื่อเติบใหญ่.. ในวันนี้ เราจึงรู้จักที่จะรักคนอื่น ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักที่จะเอาใจใส่ชีวิตอื่นๆ ของผู้คนรอบข้าง
ทุกวันส่งท้ายปีเก่ารับปีใหม่ วันสิ้นพ่อ วันเกิดแม่ และวันสงกรานต์ เป็นวันที่ลูกทุกคนรู้กัน.. เป็นวันกลับไปชุกอกแม่
เมื่อยังแข็งแรงดีอยู่ ไม่ว่าลูกคนไหน จะเล็กหรือใหญ่ไม่สบาย.. แม่เต็มใจดูแลอย่างเต็มที่ ทั้งเช็ดเนื้อเช็ดตัว สรรหาอาหารที่คิดว่าถูกปากมากที่สุดเพื่อจะได้กินเยอะๆ จะได้ฟื้นไวๆ ..แม่ป้อนเองด้วยนะ
แม่ทำให้เห็น เป็นให้ดูมาตลอดชีวิตว่า เมื่อใดที่ลูกทุกข์ แม่ทุกข์มากกว่า
วันหนึ่ง.. ในวันที่ผู้เขียนอายุ 46 กำลังป่วยหนักนอนกองอยู่บนเตียงเดี้ยงอยู่ในโรงพยาบาล แม่วัย 80 ที่ป่วยมากกว่า เดินเหินแทบไม่ไหวต้องใช้รถเข็น แต่มุงมั่นประคองตัวนั่งเครื่องบินมาเฝ้าลูกชาย มาลูบหัว ลูบหลัง มานั่งหมั่นถามว่าร้อนไหม หนาวไหม หิวไหม เจ็บไหม ปวดไหม ด้วยแววตาที่ห่วงใย อยู่ข้างกาย.. ไม่ห่างหายไปไหน
ในวันนี้.. วันที่แม่มีอายุ 84 ย่าง 85 ด้วยกำลังกายที่ถดถอย กำลังขาที่ล้าโรย แม่ยังคงมีกำลังใจแข็งแกร่งกว่ากำลังกายหลายร้อยหลายพันเท่า แม่ดูรำคาญกับสังขารที่ไม่คล่องแคล่ว และพละกำลังที่ถดถอยไม่สามารถทำอะไรๆ ได้ดังใจ
รู้ว่าแม่หงุดหงิดกับการเปลี่ยนแปลงจากชีวิตของคนที่มีร่างกายแข็งแรงและเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่ว มาเป็นคนแก่ ที่เปลี้ยล้านั่งอยู่บนรถเข็น โดยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้อย่างเต็มที่ แน่นอนว่านอกเหนือจากความเจ็บปวดทางร่างกายที่บ่งบอกถึงสภาพที่ผิดไปจากเดิมแล้ว จิตใจที่ซ่อนอยู่ภายในก็คงไม่พ้นมีอันต้องปวดร้าวไปด้วย
ความรักของแม่ ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง และความรักของแม่นี่แหละ ที่เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิตที่ดีที่สุดของลูก แม่จึงเป็นคนที่สมค่าแห่งการให้ความรัก.. ไม่เพียงแต่วันแห่งความรักเท่านั้นหากแต่พึงรักในทุกๆ วัน