พ่อแม่และผู้ปกครองหลายๆ คนอาจเคยคิดว่า ลูกหลานของเราในวันนี้มีโอกาสที่ดีในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ กว้าง
ขวางกว่าสมัยก่อน ซึ่งในส่วนหนึ่งไม่อาจปฏิเสธว่านั่นเป็นความจริง แต่หากจะมองในยุคสมัยที่เรายังเป็นเด็ก เราเองก็มีโอกาสดีกว่ารุ่นพ่อแม่ของเรามิใช่หรือ?
ฉะนั้น การที่เรามองเห็นโอกาสในวันนี้ อาจเป็นไปได้ว่าในยุคสมัยต่อไปเมื่อลูกหลานของเราเติบโตไปมีครอบครัวเขาก็อาจพูดในแบบที่เราพูดในวันนี้ สภาวะสมัยใหม่ทำให้เราสามารถนำตัวอย่างต่างๆ มาเปรียบเทียบกับอดีตได้ชัดเจนและดูประหนึ่งว่าโอกาสที่ว่านี้จะพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่หากเราลองไม่มองภาพในลักษณะแนวตั้ง แล้วมองใหม่ในแนวระนาบ อาทิ เปรียบเทียบกับสภาวะที่ลูกหลานของเรากับลูกหลานของคนอื่นๆ ในสังคมวัฒนธรรมอื่นๆ แล้วเราอาจมองเห็นแง่มุมของโอกาสแตกต่างออกไปจากที่เราเข้าใจก็เป็นได้
ลำพังโอกาสทางศิลปะเพียงด้านเดียวก็อาจจะเพียงพอที่จะทำให้เราเห็นภาพที่แตกต่างออกไปว่า ลูกหลานของเราอาจกำลังประสบปัญหาการขาดโอกาสอย่างที่พวกเขาควรจะได้รับ เริ่มต้นจากเรื่องที่ว่า หากเราเชื่อ (หรือหลงเชื่อ) ว่าศิลปะมีความสำคัญในพัฒนาการของเด็กๆ จริง เหตุใดเราจึงให้โอกาสกับศิลปะในบ้านเราอย่างที่เป็นอยู่ ในขณะที่ตัวศิลปะเองนั้นได้พัฒนาไปอย่างมากมายและรวดเร็ว ช่องว่างระหว่างศิลปะกับเด็ก (รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครอง) กำลังขยายตัวกว้างออกไป ปรากฎการณ์ในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในบ้านเมืองเราแต่เกิดขึ้นในแทบทุกสังคมวัฒนธรรม
ในอังกฤษเอง การเกิดขึ้นของหอศิลป์อย่าง The New Art Gallery ในเมือง Walsall ได้ถูกออกแบบให้เข้ามาเสริมภาพการรับรู้ของศิลปะกับเยาวชน ลำพังการนำเสนอศิลปะความสูงของเด็กก็ช่วยให้เด็กๆ รู้สึกเป็นกันเองกับศิลปะมากกว่าที่จะพาเด็กเข้าไปชมศิลปะในสถานที่ของผู้ใหญ่และเด็กๆ กับระดับสายตาและความสูงของเด็กก็ช่วยให้เด็กๆ ต้องมาคอยชะเง้อคอดู ลำพังประเด็นนี้เพียงประเด็นเดียว ก็สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการทำความเข้าใจ ความละเอียดลออของนักการศึกษาและนักจัดการงานทางด้านวัฒนธรรมที่นั่นได้อย่างดี ศิลปะที่เด็กมีโอกาสดูกับผู้ใหญ่นั้นหากไม่นับรวมเรื่องราวหมิ่นเหม่แล้ว มีโอกาสเท่าเทียมกัน มีการอธิบายความที่แตกต่างกัน ในส่วนที่เป็นสาระและภาษาที่ใช้
ช่องว่างทางศิลปะในวันนี้ไม่เพียงแต่การมองและการเห็นภาพหรือผลงานศิลปะเท่านั้น หากยังกินความรวมไปถึงความรู้ในด้านศิลปะอีกด้วย เราจะพว่าพิพิธภัณฑ์ศิลปะและหอศิลป์สาธารณะจำนวนไม่น้อยเริ่มที่จะให้ความสนใจกับกิจกรรมที่นอกเหนือจากงานจัดแสดงผลงานศิลปะ ด้วยเหตุที่ช่องว่างทางความรู้ความเข้าใจระหว่างผู้คนกับศิลปะกำลังดำเนินไป สถานที่ทางวัฒนธรรมเหล่านี้จึงจำเป็นต้องตระหนักถึงการเติมเต็มช่องว่างดังกล่าวกิจกรรมด้านการให้ความรู้ที่ข้างเคียง และคู่ขนานจึงเกิดขึ้นในสถานที่ทางวัฒนธรรมที่มีวิสัยทัศน์เหล่านี้ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ศิลปะดูเป็นเรื่องธรรมดาและเข้าถึงได้เท่านั้น หากยังทำให้ศิลปะมีชีวิตชีวา ในฐานะที่มันได้ดำเนินไปควบคู่กับคนและสิ่งรายรอบอีกด้วย
หากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรา ยังคงมองหาโอกาสทางศิลปะในแบเดิมๆ คือ การวาดรูป และการดูรูปวาดแล้ว ลูกหลานของเราก็จะไม่ได้รับโอกาสในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจกับสิ่งรายรอบอย่างที่พวกเขาควรจะได้รับ ภายใต้สภาวการณ์เช่นนี้ อาจเป็นหน้าที่ของเราในฐานะพ่อแม่ผู้ปกครองต้องเรียกร้องกับเรื่องเหล่านี้กับสถานที่ทางวัฒนธรรม หรือทำหน้าที่ในการสร้างโอกาสขึ้นมาเองตามสมควรที่จะสามารถทำได้