หนึ่งในคำถามยอดฮิต ที่ผู้ใหญ่ใช้ถามเด็กๆ คือ 'โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร' คำตอบจากปากหนูน้อยอาจหลาก
หลายแต่เท่าที่ผมเคยได้ยินมา ส่วนใหญ่เลือกตอบว่า 'หมอ ครู ตำรวจ ทหาร' นานๆ ถึงเจอเด็กตอบอาชีพแปลกออกไป เช่น นักร้อง นักดนตรี นัดวาดภาพ ฯลฯ
ไม่ว่าเด็กน้อยตอบว่าอยากเป็นอะไร เรา.. ในฐานะผู้ใหญ่มักยิ้มให้กำลังใจ พร้อมทั้งเอาใจช่วยให้เจ้าตัวเล็กสามารถเกาะติดความฝันในวัยเยาว์ เนื่องเพราะประสบการณ์ชีวิตสอนเราว่า กว่าเด็กน้อยจะเติบใหญ่ พวกเขายังต้องเจอเรื่องราว อุปสรรค ขวากหนามชีวิตอีกมากมายมาบั่นทอน กีดกัน ทำลายฝัน
จากเด็กตัวน้อยๆ สูงใหญ่กลายเป็นคนหนุ่มสาว ความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ของหลายคนเปลี่ยนไปตามกระแสจังหวะชีวิต แต่น่าเศร้าตรงที่หลายคนใช้ชีวิตโดยปราศจาก 'ความใฝ่ฝัน' ไม่มี 'เป้าหมายชีวิต'
ด้วยสถานะของผมในปัจจุบัน เป็นอาจารย์คณนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยเอกชน ทำให้ผมมีโอกาสคลุกคลี ใกล้ชิดกับเด็กวัยรุ่น คนหนุ่มสาว ผมมักพูดคุยถามไถ่พวกเขาทำนองเดียวกับคำถามในวัยเด็กว่า 'เรียนจบอยากทำอะไร' เป้าหมายชีวิตของหนูคืออะไร
เชื่อไหมครับว่า เด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยไม่มีเป้าหมายชีวิตพ่อแม่ให้เรียนจนจบระดับมัธยมก็เรียนต่อระดับปริญญาตรีตามบันไดชีวิต จำนวนไม่น้อยเลือกเรียนคณะวิชาต่างๆ ตามใจพ่อแม่ หลายคนเลือกเรียนตามเพื่อน มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ตั้งเป้าไว้เลยว่ามาเรียนคณะนี้เพราะชอบ และต้องการประกอบอาชีพใด
นักศึกษาประเภทหลังนี่แหละครับ พวกเขาสนุก มีความสุขกับการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและกิจกรรมนอกหลักสูตร เมื่อเรียนจบคนกลุ่มนี้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความฝันของพวกเขาได้ไม่ยากนัก
แต่สำหรับ 'เอ' เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีแรกๆ ก็เป็นเหมือนนักศึกษาทั่วไป ที่ผมเคยพูดคุย นั่นคือ 'ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ' เขาไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือสนใจอะไรในสายนิเทศศาสตร์กันแน่ หวังเรียนแค่ให้จบรับใบปริญญาเท่านั้น
จนวันหนึ่งเอได้ยืมกล้องของเพื่อนมาถ่ายรูปส่งงานให้ผมปรากฎว่าภาพที่เขาถ่ายออกมาสวยงามทั้งสีสัน องค์ประกอบภาพและได้อารมณ์ของภาพข่าวโดดเด่นกว่าภาพอื่นๆ ของเพื่อนในรุ่น แวบนั้นผมเห็นถึงพรสวรรค์ด้านถ่ายภาพของเอ ผมเรียก 'เอ' ออกมาหน้าห้องเรียนชื่นชมว่าภาพของเขาเทียเคียงได้กับภาพมืออาชีพจากนั้นก็ขอเสียงปรบมือชื่นชมจากเพื่อนๆ
ผมมารู้ภายหลังว่า คำชมเล็กๆ ในห้องเรียนวันนั้นนอกจากทำให้หัวใจเอพองโตแล้ว ยังเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเขา เพราะหลังจากนั้นเอมุ่งศึกษาด้านการถ่ายภาพด้วยตนเอง เขาซื้อกล้องแล้วตระเวนไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเก็บภาพ หลายครั้งที่เขาเอาภาพมาอวดโชว์ให้ผมดูทำให้ผมเห็นถึงพัฒนาการด้านการถ่ายภาพของเขาอย่างชัดเจน
หลังจากถ่ายภาพมาระยะเวลาหนึ่ง ตอนอยู่ปี 4 เอตัดสินใจลองเข้าประกวดภาพถ่ายในเวทีระดับชาติ ปรากฎว่า ภาพถ่ายของเขาได้รับรางวัลชมเชย นั่นยิ่งทำให้เอมุ่งมั่นพัฒนาฝีมือถ่ายภาพของเขา
ล่าสุด ผมเจอเอในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัย เขาเล่าให้ผมฟังว่า ตอนนี้ทำงานเป็นช่างภาพในนิตยสารท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง
"ผมมีความสุขมากกับงานที่ทำครับ แม้เงินเดือนจะไม่มากมายนัก แต่ผมได้ทำสิ่งที่ผมชอบ สิ่งที่ผมรัก แค่นี้ก็พอแล้ว"
ตอนหนึ่งของการพูดคุย เอบอกว่า "จะว่าไปผมเองก็เสียดายนะครับ ที่หาตัวเองเจอตอนใกล้เรียนจบ นี่ถ้าผมรู้ว่าชอบถ่ายภาพตั้งแต่ปี 1 ปี 2 ผมคงได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะ" ผมได้แต่ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า "ดีเท่าไหร่แล้วที่เจอตัวเอง เพื่อคุณอีกหลายๆ คนจบไปแล้วยังหาตัวเองไม่เจอเลย"
วันนั้น ระหว่างขับรถกลับบ้าน ผมครุ่นคิดว่า "เออ.. แล้วเราค้นหาตัวเองเจอตอนไหน"
จำได้ว่า ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นผมยังฝันอยากเป็นหมอ อยากเป็นวิศวกรเหมือนกับคนอื่นๆ เพราะกระแสความเชื่อของสังคมว่าอาชีพเหล่านี้ น่ายกย่องว่าทั้งเก่งและรวย นั่นเป็นเหตุผลทำให้ผมเลือกเรียนต่อมัธยมปลายในสายวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อเริ่มเรียนวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะฯ ก็รู้ว่า จริงๆ แล้วผมถนัดและสนใจสายสังคมศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์ เพราะถ้าเป็นหนังสือสังคมศาตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ผมอ่านเที่ยวเดียวจับความ จดจำได้ แถมยังสนุกในการเรียนรู้หาหนังสือมาอ่านเพิ่ม ถ้าเป็นวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะฯ ถึงแม้สามารถเรียนได้ แต่ไม่รู้สึกสนุกกับวิชาเหล่านี้ สุดท้ายเมื่อเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมเลือกจากความชอบ ความถนัด เลือกจากความใฝ่ฝันของตนเองเป็นหลัก นั่นคือ การเป็น 'นักข่าว'
เพราะผมชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะอย่านหนังสือพิมพ์การติดตามข่าวสารบ้านเมืองเป็นเรื่องปกติประจำวันของผม ดังนั้นเมื่อต้องตัดสินใจชะตาชีวิตของตนเอง ผมจึงเลือกการเป็นนักข่าว
แม้ว่า ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในยุคนั้น ไม่เปิดโอกาสให้ผมเรียนในคณะวารสารศาสตร์ หรือนิเทศศาสตร์ แต่ผมยังได้เรียนในคณะรัฐศาสตร์ ซึ่งผมสนใจรองลงมา อย่างไรก็ตามเมื่อเรียนจบ ผมไม่รอช้าในการมุ่งหน้าสานฝันกับการเป็นนักข่าว
ก่อนนอนคืนนั้น ผมถามลูกชายทั้ง 2 คนของผมว่า "ลูกครับ โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร" เจ้าน้องชายสุดแสบชิงตอบก่อนว่า "อยากเป็นคนขับเครื่องบินเจ็ท" ส่วนเจ้พี่ชายวัยย่าง 8 ขวบ ละสายตาจากหนังสือการ์ตูนวิทยาศาตร์หันมาตอบผมว่า
"อยากทำงานนาชา เป็นคนสร้างหุ่นยนต์สำรวจหลุมดำครับ"
"อืม.. น่าสนใจครับลูก ขอให้สมหวังทั้งคู่เลยนะครับ" ว่าแล้วก็กอดเจ้าหนูทั้งสองอย่างสุดรักพลางภาวนาให้พวกเขา "เก็บฝันเอาไว้นานๆ และขอให้หาตัวเองให้เจอได้โดยเร็ว"