มื้อเย็นแรกของวันเปิดศักราชใหม่ปี 2555 ครอบครัวของเราดำเนินไปปกติ กินข้าวไปคุยกันไป มีเรื่องราว
ที่ชวนคุยกันทุกครั้ง แต่ครั้งนี้พิเศษที่มีเพื่อนลูกชายอยู่ด้วย
หลังเสร็จสิ้นมื้อเย็นแล้วแยกย้ายกันกลับ เจ้าลูกชายคนโตของดิฉันเล่าให้ฟังว่า เพื่อนของเขาบอกว่า 'เขาไม่เคยมีมื้ออาหารแบบนี้เลย ดีจัง กินข้าวกันไปคุยกันไปด้วย เขากินอาหารกับครอบครัวทีไร ส่วนใหญ่แม่จะเล่นบีบี พี่สาวจะคุยทางไอโฟน ส่วนพ่อจะคุยโทรศัพท์ เขาก็จะนั่งกินข้าวไปเฉยๆ'
อึ้งสิคะ... ก็เลยถามลูกชายว่าแล้วรู้สึกอย่างไร เจ้าลูกชายก็บอกว่าสงสารเพื่อน ดิฉันรู้จักเด็กคนนี้มานาน เป็นเด็กผู้ชายสดใสร่าเริงน่ารักมากจัดว่าอยู่ในกลุ่มลูกของชนชั้นกลางค่อนไปทางมีฐานะ ดูภายนอกก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่น เวลาไปไหนก็เห็นไปด้วยกันทั้งครอบครัว แต่เวลาฟังเรื่องราวของเด็กคนนี้ที่ถ่ายทอดให้ลูกชายฟังหลายต่อ หลายครั้ง ก็สัมผัสได้ว่าเด็กคนนี้รู้สึก 'ขาด' อยู่บ่อยๆ
ท่ามกลางสังคมเทคโนโลยีที่ล้นทะลักเข้ามาอย่างในยุคปัจจุบัน ดูเหมือนทิศทางของผู้คนก็วิ่งไล่ตามเทคโนโลยีกันสุดฤทธิ์สุดเดชและก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนก็ตกเป็นทาสของมัน หรือไม่ก็เสพติดเทคโนโลยีชนิดที่ไม่สามารถขาดมันได้ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนสารพัดยี่ห้อ ไอแพด แทบเล็ต ฯลฯ เพราะต้องการเข้าสู่โลกโซเชียลเน็ตเวอร์ค และเข้าสู่โหมดคุยกันผ่านทางแชท
ไม่แปลกใจที่ปัจจุบันสถานที่สาธารณะมากมาย เราจะพบเห็นภาพของผู้คนต่างจดจ่ออยู่กับเครื่องมือสื่อสารของตัวเองอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่สนใจใคร
เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องส่วนตัว คงว่ากันไม่ได้ แต่เรื่องแบบนี้ถ้าเข้าไปสู่โลกของครอบครัวแล้ว มันไม่ใช่โลกส่วนตัวอีกต่อไป เพราะมันส่งผลกระทบต่อลูกหลานและสัมพันธภาพในครอบครัวอย่างมาก
ดิฉันเชื่อว่าพฤติกรรมที่เด็กน้อยคนนั้นเล่าให้ฟัง เกิดขึ้นกับอีกหลายครอบครัว คือถึงแม้ครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกันก็จริง แต่ต่างคนต่างอยู่ พ่อก็มีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง แม่ก็ก้มหน้าก้มตาดูแลบ้านไป ลูกก็อยู่ในส่วนของลูกไป ไม่ได้มีการสื่อสารพูดคุยหรือทำกิจกรรมร่วมกันเลย
สุดท้ายเด็กก็ซึมซับรับความรู้สึกเหล่านั้น แล้วในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าเขา 'ขาด' อยู่ดี
การให้เวลาแก่ลูกเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้พ่อแม่ลูกใกล้ชิดและเข้าถึงชีวิตของกันและกัน พ่อแม่อาจจะคิดว่าเวลาเป็นเงินเป็นทองแต่ในทัศนะของลูกล่ะ.. เขาต้องการเวลาที่พ่อแม่ให้เขามากกว่า
แต่.. เวลาที่ให้ก็ควรต้องเป็นเวลาคุณภาพด้วย
และ.. เวลาคุณภาพก็ต้องมาพร้อมกับการรับฟังและเข้าใจลูกด้วย
พ่อแม่บางคนอาจคิดว่า เมื่อลูกต้องการเวลา ก็ให้ลูกก็คุยไปพ่อแม่จะฟังลูกท่าเดียว บางคนฟังลูกไปอย่างนั้น ไม่ได้สนใจว่าลูกพูดอะไร ลูกพูดจบแล้ว บางทียังไม่รู้ว่าพูดอะไร ตัวอยู่กับลูกแต่ใจไปอยู่ที่อื่น ที่แย่ไปกว่านั้นขณะรับฟังปัญหาของลูก บางคนก็รีบด่วนสรุปโดยที่ยังฟังลูกไม่จบ และช่วยแก้ปัญหาด้วยวิธีของพ่อแม่
ทั้งที่จริงแล้ว การรับฟังลูกในทุกเรื่องด้วยสายตาของเขาอย่างเต็มใจ จะทำให้ลูกเกิดความมั่นใจว่าพ่อแม่รักเขา และพร้อมที่จะรับฟังเขาทุกเรื่อง มันจะนำไปสู่ความเข้าใจในตัวลูก พวกเด็กๆ ก็จะซับซับได้ว่าพ่อแม่ตั้งใจรับฟังเขา
สิ่งเหล่านี้ก็จะติดเป็นนิสัย เมื่อเขาเติบโตขึ้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะคิดถึงพ่อแม่ และรับรู้ได้ว่าพ่อแม่คือคนที่จะรับฟังเขาอย่างเข้าใจ และพร้อมที่จะให้เวลาคุณภาพกับเขาทุกเมื่อ
ต้องไม่ลืมว่า ยิ่งสังคมมีปัญหามากเท่าไร การสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตให้ลูกยิ่งมีความสำคัญมากเท่านั้น เวลาคุณภาพสำหรับครอบครัว และการรับฟังลูกอย่างตั้งใจและเข้าใจ ยิ่งมีความจำเป็นและสำคัญมากขึ้นเท่านั้น เพื่อการตั้งหลักของชีวิตลูกต่อไปในอนาคต