อาการ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในระยะเริ่มแรกมักจะไม่มีอาการ แต่ต่อมาเมื่อเป็นมากขึ้น อาการก็จะแสดงชัดขึ้นตาม
ลำดับ โดยอาการสำคัญที่พบบ่อยๆ ได้แก่ หายใจลำบาก หอบ เหนื่อยเพราะขาดออกซิเจน และหายใจมีเสียง 'วี๊ด' ไอมากอยู่ตลอดเวลาอย่างเรื้อรัง มีเสมหะ เป็นหนอง อาจมีเลือดออกร่วมด้วย มีอาการปวดหน้าอก เจ็บเสียวในอก
อาการจะค่อยๆ เป็นมากขึ้นตามการเสื่อมของถุงลมในปอด ในที่สุดจะมีภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ และหัวใจวายตามมา ผู้ป่วยเหล่านี้จะเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม การหายใจล้มเหลวและภาวะหัวใจวาย เป็นต้น
การดำเนินโรคถุงลมโป่งพองมีอยู่ 4 ขั้น ด้วยกัน
ขั้นที่ 1 เริ่มมีการอุดกั้นของหลอดลมเล็กๆ ซึ่งเป็นระยะที่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการ และความผิดปกติที่หลอดลมเล็กๆ เหล่านั้น สามารถกลับคืนสู่ปกติได้เมื่อหยุดบุหรี่หรือหยุดปัจจัยเสี่ยงได้
ขั้นที่ 2 มีการอุดกั้นของหลอดลมและความเสื่อมของถุงลมชัดเจน โดยทราบได้จากการตรวจสมรรถภาพของปอด ในขั้นนี้ผู้ป่วยจะมีอาการไอและเหนื่อย แต่ไม่มาก
ขั้นที่ 3 มีอาการไอและเหนื่อยมากขึ้น ผลการตรวจสมรรถภาพปอดเสื่อมลงอีก
ขั้นที่ 4 มีการเสื่อมของหลอดลมและถุงลมมาก การหายใจล้มเหลวและหัวใจวายเกิดขึ้น ระยะนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องพึ่งเครื่องให้ออกซิเจน
สาเหตุ เนื้อปอดถูกทำลาย ถุงลมเล็กๆ ในปอดเกิดความเปราะ จึงแตกรวมกันเป็นถุงลมขนาดใหญ่ที่โป่งพอง ผนังของหลอดลมหนาผิดปกติและบวมทำให้อากาศเข้าไปได้น้อย และเซลล์ของทางเดินหายใจมักจะอักเสบ มีของเหลวและเมือกเกาะอยู่มาก ทำให้อุดกั้นทางเดินหายใจ ทั้งหมดนี้มีอากาศเสียคั่งอยู่ภายในปอด ออกซิเจนต่ำ จึงทำให้หอบเหนื่อย หายใจลำบาก
สาเหตุของถุงลมโป่งพองที่พบบ่อย ได้แก่
- ผู้ที่เป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
- การสูบบุหรี่ บางรายหยุดสูบบุหรี่ แต่มีอาการเนื่องจากถุงลมถูกทำลายไปแล้ว
- การสูดดมสิ่งที่เป็นพิษ เช่น มลภาวะ ไอเสีย ฝุ่น สารเคมี เป็นระยะเวลานานๆ เป็นต้น
การรักษา ต้องรีบพบแพทย์เสียแต่เนิ่นๆ จะมีการซักถามประวัติและตรวจร่างกาย เอกซเรย์ปอด วัดสมรรถภาพการทำงานของปอด วัดระดับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใดที่สามารถทำให้ถุงลมโป่งพองหายได้ แต่การใช้ยาจะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และปอดถูกทำลายช้าลง
ยาที่ใช้มี 5 ประเภท คือ
- ยาลดการอักเสบ
- ยาขยายหลอดลม
- ยาละลายเสมหะ
- ยาฆ่าเชื้อโรค เมื่อมีการติดเชื้อโรคในทางเดินหายใจและปอด
- การให้ออกซิเจนที่บ้านตามความจำเป็น
การใช้ยาที่เหมาะสมอาจทำให้สมรรถภาพปอดดีขึ้น และอาจมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น ถ้ายิ่งมาช้ายิ่งรักษายากขึ้น กลุ่มหลังนี้มักเกิดการติดเชื้อทางระบบหายใจ แล้วเสียชีวิตจากการหายใจล้มเหลว
สำหรับการผ่าตัดเปลี่ยนปอด ควรทำกับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และยังทำกันน้อย ใช้ได้กับผู้ป่วยที่มีถุงลมปอดโป่งพองเป็นถุงใหญ่ และเนื้อปอดรอบๆ ที่ยังพอทำงานได้ดี ช่วยให้ผู้ป่วยเหนื่อยน้อยลงได้ เพื่อลดปริมาตรปอดที่เสีย อาจทำให้กะบังลมทำงาานได้ดีขึ้น